สโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ โจเซฟ กวาดิโอลาร์นั้นเป็นทีมที่เน้นการจ่ายบอลทำเกมรุกเชื่อมกันจนไปถึงหน้าประตูของฝั่งตรงข้าม เป็นทีมที่เน้นการคุมเกมได้ด้วยการครอบครองบอล ซึ่งนั่นคือปรัชญาฟุตบอลของตัวเป๊ปก็ว่าได้ 
  ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปั้นเกมรุกให้กับทีมเป็นอย่างยิ่งนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือผู้รักษาประตูประจำทีมอย่างแอร์เดซงนั่นเอง


  สไตล์การเล่นของเป๊ปคือการปรับแนวรับให้เปลี่ยนแปลงไปมาเสมอตามสไตล์การ Pressing ของผู้เล่นแนวหน้าของฝั่งตรงข้าม การเล่นในลักษณะนี้จะสร้างสถานการณ์ที่ได้เปรียบให้กับทีมตัวเอง สามารถปล่อยให้นักเตะที่มีอิสระพาบอลไปด้านหน้าได้
 
  ถ้าเกิดกองหน้าของฝั่งตรงข้ามมีแค่ 1 คน ถ้าต้องการ pressing คนนั้นก็จะจัดแบ็คเป็น 4 แล้วตอนปั้นเกมรุกขึ้นจะปรับเป็น 2+3 แต่ถ้าต้องการ Pressing กองหน้า 2 คนก็จะจัดเป็น 3 หลังแล้วตอนปั้นเกมเป็น 3+2 แทน ซึ่งนั่นคือหลักการทั่วไปที่จัดมาโดยตลอด
 
  เพียงเท่านี้ก็สามารถปั้นเกมรุกโดยครองความได้เปรียบเอาไว้ได้แล้ว แผงหลังที่มี 2-3 คนก็ทำการจ่ายไปมา เวลามีนักเตะคนไหนที่เป็นอิสระไม่ถูกประกบก็สามารถวิ่งกระชากพาบอลขึ้นไปด้านหน้า เป็นกลไกที่สามารถพาบอลไปตรงกลางสนามที่เรียกว่า 1st Pressing Line ที่สามารถกดดันกองหน้าของฝั่งตรงข้ามได้นั่นเอง
 
  แต่ในกรณีแบบนี้ ก็จะมีลักษณะที่กองหลังของแมนซิตี้ทั้ง 3 คนต้องรับมือฝั่งตรงข้าม 3 คนเช่นกัน (เช่น 1 หน้าเป้าและ 2 ปีก) ซึ่งก็จะกลายเป็นการเข้า Pressing แบบ Man to Man ซึ่งผู้ที่ต้องรับหน้าที่ในการช่วยพาบอลเพื่อทำให้ทีมสามารถเล่น Pressing ได้ดีนั้นก็คือตัวของผู้ที่เฝ้าเสาประตูเป็นลำดับสุดท้ายหรือตัวผู้รักษาประตูนั่นเอง
 
  หากผู้รักษาประตูไม่ได้มีแค่ทักษะเทียบเท่ากับผู้เล่นในสนามทั่วไป แต่หากมีไหวพริบ สามารถจ่ายลูกและสามารถปั้นเกมรุกได้ล่ะก็ การทำเกมรุกจากตัวผู้รักษาประตูนั้นจะกลายเป็นอาวุธที่แสนร้ายกาจ ซึ่งตัวของแอร์เดซงคือผู้รักษาประตูที่รับหน้าที่เป็นนักปั้นเกมได้อีกด้วยนั่นเอง
 
  แอร์เดซงสามารถใช้มือและเท้าสองข้างได้อย่างอิสระ นอกจากการเตะบอลยาวที่แสนแม่นยำ เขาก็ยังมีความสามารถในการวิเคราะห์ว่าควรจะปั้นเกมรุกจากตำแหน่งไหนบริเวณใด เรียกได้ว่าทักษะของเขานั้นเหนือยิ่งกว่า Center Back ถึงขั้นเทียบเคียงกับมิดฟิลด์เลยก็ว่าได้