ช่วงต้นของเดือนตุลาคมหลังจากจบการแข่งขันนัดที่ 29 ของ J1 นักเตะทีมชาติไทยทั้ง 3 คนตั้งแต่ชนาธิป มิดฟิลด์แห่งซัปโปโร ธีรศิลป์แบ็คแห่งโกเบและธีรศิลป์กองหน้าแห่งฮิโรชิมะก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ในฐานะนักเตะที่อยู่ในชุดทีมชาติ
 
  นอกจากทีมชาติญี่ปุ่นจะโชว์ฟอร์มดีแล้ว ทีมชาติไทยก็ใช่ย่อย ทีมชาติไทยคว้าชัยชนะจากทั้งเกมไปเยือนฮ่องกงในวันที่ 11 และเกมเปิดบ้านรับการมาเยือนของตรินิแตดและโตเบโกในวันที่ 14 อีกด้วย
 
  หลังจบเกมกับฮ่องกง นักเตะก็นั่งเครื่องกลับมายังกรุงเทพฯผ่านทางสนามบินดอนเมือง พอเห็นภาพของเหล่าแฟนคลับที่รอต้อนรับพวกเขาที่ใส่ชุดลำลองอยู่นั้นก็ยิ่งทำให้สัมผัสได้ถึง "ความเป็นคนพิเศษ" ของพวกเขาเลยก็ว่าได้
 
  การแข่งขันนัดต่อมาจัดขึ้นที่สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรีที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจากกรุงเทพฯ 100 กว่ากิโลเมตร นัดนี้ยังเป็นนัดอำลาการรับใช้ทีมชาติของผู้รักษาประตูทีมชาติไทย "สินทวีชัย" อีกด้วย  ซึ่งก่อนเริ่มการแข่งขันได้มีการเปิดวีดีโอ "สุดยอดนักเตะ 11 คนตลอดกาลของทีมชาติไทย" ที่สินทวีชัยเลือกเอาไว้ โดยนักเตะไทยที่ค้าแข้งอยู่ในเจลีคทั้ง 3 คนนั้นต่างก็มีชื่อติดโผในนั้นหมด เรียกได้ว่าพวกเขาทั้ง 3 เป็นตำนานที่ยังเดินได้อยู่นั่นเอง

  แล้วผลงานของทีมชาติไทยเป็นอย่างไรบ้างล่ะในเดือนตุลาคม แม้การแข่ง 2 นัดจะคว้าชัยได้ 2 นัดก็ตาม แต่หากดูกันลึก ๆ แล้วจะพบว่าชัยชนะแต่ละนัดนั้นไม่ได้มาโดยง่ายเลย
 
  นัดแรกทีมไทยชนะฮ่องกงไปด้วยด้วยประตู 1-0 ซึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของฮ่องกงก็พาดหัวว่า "นักเตะแปลงสัญชาติ vs นักเตะเลือดผสม" จากการที่มีนักเตะฮ่องกงหลายคนที่โอนสัญชาติมาจากอเมริกาใต้และแอฟริกา ที่ต้องมาเจอกับทีมชาติไทยที่มีนักเตะลูกครึ่งหลายคน
 
  ในนาทีแรก ศูนย์หน้า "เลือดผสม" ฟิลิป โรลเลอร์ ทำประตูขึ้นนำให้ทีมชาติไทยก่อนได้ แต่มันก็เท่านั้น ช่วงเวลาที่เหลืออีกเกือบ 90 นาทีเป็นทางฝั่งของ "นักเตะแปลงสัญชาติ" ที่สามารถทำเกมรุกได้อย่างดุเดือดจนเกือบจะจบสกอร์ได้หลายต่อหลายครั้ง แม้สื่อฮ่องกงจะรายงานข่าวเรื่องความพ่ายแพ้ของชาติตัวเองก็ตาม แต่ฟอร์มโดยรวมก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนักเลย
 
  ส่วนอีกเกมที่มีนักเตะเจลีคทั้ง 3 รายลงแข่งกันพร้อมหน้ากันนั้น ชัยชนะ 1-0 ก็ไม่ใช่ชัยชนะที่เรียกได้ว่าขาดลอยแต่อย่างใด
 
  สัมผัสได้ถึงแรงจูงใจของนักเตะทีมชาติตรินิแดดและโตเบโกได้อย่างเด่นชัด มีหลายครั้งที่ธีราทรถูกความเร็วของฝั่งตรงข้ามเล่นงานจนหัวหมุน ธีรศิลป์ที่มีโอกาสหลายครั้งแต่ก็ทำประตูไม่ได้ ส่วนทางด้านชนาธิปก็ไม่สามารถเล่นเกมเชื่อมกับเพื่อนรอบข้างได้เลย ซึ่งนั่นคือหลักฐานที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทีมชาติไทยไม่ได้มีการพัฒนาข้อเสียจากเกมการแข่งขันกับฮ่องกงเมื่อ 3 วันก่อนเลยนั่นเอง