กุนซือทีมชาติฝรั่งเศสที่คุมทีมมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2012 อย่างดิดิเย่ เดช็องที่ถูกถามว่า "คิดว่าความลื่นไหลในเกมรุกมันเลื่อนขั้นขึ้นหรือเปล่าครับ?" เขาก็ตอบว่า "ใช่" โดยทันที

  แล้วก็กล่าวเสริมว่า "ความสวยงาม ความเป็นระบบ ความเข้าขากัน แม้ก่อนหน้านี้จะพยายามแล้วแต่มันก็ยังไม่ได้ขนาดนี้ ยิ่งเล่นกันมากขึ้นเท่าไรความเข้าขาก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น" เขากล่าวถึงลูกทีมของตัวเอง

  คำพูด "เข้าขา" นั้นมีความหมายซ่อนเร้นบางอย่างซึ่งเป็น "ประเด็น" ที่ละเอียดอ่อนในทีม แน่นอนว่าเรื่องนั้นก็หมายถึงความคาดหวังที่ตัวกุนซือมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแต่ก่อนบรรยากาศที่ออกจะดูเลื่อนลอยอึดอัดนั้นก็มีในทีมอยู่ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือระหว่างกรีซมันน์และเอ็มบาปเป้

  ทั้งสองคนที่เบียดแข่งกันในการแก่งแย่งบัลลงดอร์นั้น(อันดับ 3 และ 4) ในช่วงหลังมานี้เขาก็ยังแย่งตำแหน่งนักกีฬาที่มีรายได้สูงที่สุดในฝรั่งเศส(อันดับ 1 และ 2) อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นหากทางสื่อจะคิดว่าทั้งสองคนเป็นคู่แข่งหรือคู่ปรับกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลย

  ในเกมกับมอลโดวานั้น แม้กรีซมันน์จะสร้างจังหวะในเกมรุกได้อย่างกระฉับกระเฉงแต่เอ็มบาปเป้ก็ไม่เข้าใกล้ประตู เห็นได้ชัดเลยว่าเขาดูเดียวดาย นั่นจึงทำให้ข่าวลือดังกล่าวได้รับการยืนยันหนักขึ้น

  ทว่าปัญหาเพียงหนึ่งเดียวที่มีของทีมชาติฝรั่งเศสในตอนนี้นั้นก็ได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อการแข่งขันนัดกับไอซ์แลนด์มาถึง โดยเจ้าตัวกรีซมันน์ที่ให้สัมภาษณ์ในมิกซ์โซนก็ตอบด้วยรอยยิ้มเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า

  "จะด้วยวิธีการไหนก็ช่าง(หัวเราะ) เขาก็รู้ดีครับว่าจะส่งลูกมาให้ผมแบบไหน ที่เหลือก็เป็นเรื่องของผมที่ต้องโชว์พลังออกมา ก็ตามที่บอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับ การค่อย ๆ เสาะหาซึ่งกันและกันน้ั้น ด้วยเวลาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดจึงทำให้ทุกเกมที่ยิ่งเล่นด้วยกันยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไปมันก็จะยิ่งดีขึ้นเองครับ"

  คอลัมน์นิสต์ชื่อดังแห่งนิตยสาร L'Equipe ก็เขียนสกู๊ปข่าวถึงพวกเขาสองคนในวันต่อมาหลังการแข่งขันกับไอซ์แลนด์จบทันทีว่า

  "บทสรุประหว่างเจ้าหนู(เอ็มบาปเป้)และนายใหญ่(กรีซมันน์)ที่แสดงให้เห็นในเมื่อคืนนั้นก็ตอบคำถามคาใจหลาย ๆ ข้อหมดแล้ว ความเป็นทีมนั้นคือสิ่งที่ต้องวิวัฒนาการไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ปัญหามันก็มีเท่านั้น"

  "แม้กรีซมันน์กับเอ็มบาปเป้จะแข่งขันกันหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความเร็ว เงินเดือนและสถิติต่าง ๆ ก็ตาม แต่เมื่อคืนก็ไม่เห็นพวกเขาแก่งแย่งอะไรกันเลย"