ทางคุณโคยามะได้กล่าวถึงกลยุทธ์บุกเอเชียโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า "มีเป้าหมาย 2 ประการที่แสนสำคัญ" โดยประการแรกคือ "ท่ามกลางปริมาณประชากรญี่ปุ่นที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ เราไม่ควรเน้นการขยายภาคธุรกิจเฉพาะตลาดภายในประเทศเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องขยายตลาดไปในเอเชียด้วย" และเหตุผลอีกประการคือ "หากมองในภาพรวมของแวดวงลูกหนังแล้วนั้น นี่จะเป็นการยกระดับฟุตบอลของเอเชียให้สูงขึ้น อยากจะให้เขตเศรษฐกิจเอเชียมีความแข็งแกร่งด้านฟุตบอลจนต่อกรกับยุโรปได้" อีกด้วย
 
  โดยประการแรกนั้นก็เห็นผลลัพธ์ออกมาแล้วซึ่งนั่นก็คือประเทศไทย กล่าวได้ว่าเมืองไทยนั้นจัดเป็นประเทศที่มีระดับของการแข่งขันที่สูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันนี้ที่เมืองไทยมีการถ่ายทอดสดการแข่งขัน J1 4 เกมในแต่ละนัด รวมทั้ง J2 หนึ่งเกมในแต่ละนัดอีกด้วย จำนวนผู้ชมการแข่งขันก็เทียบเคียง 400,000 คน ถึงแม้ความแตกต่างด้านเวลานั้นจึงทำให้การแข่งขันเวลา 1 ทุ่มตรงในญี่ปุ่นซึ่งเป็นช่วง Prime time ในไทยนั้นเป็น 5 โมงเย็นแทน แต่กระนั้นก็ยังได้ยอดผู้ชมที่มีตัวเลขอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คุณโคยามะสามารถสัมผัสได้ถึงการตอบรับของเป้าหมายลำดับแรกได้อย่างหนักแน่น
 
  ในส่วนของประการหลังนั้น ต้องยกคำพูดของโนโนมุระ โยชิคาซึ ประธานสโมสรซัปโปโรผู้รับกลยุทธ์บุกเอเชียในเจลีคมาใช้และเห็นประโยชน์อย่างเด่นชัด "ในเอเชียมีนักเตะแบบชนาธิปอยู่ แน่นอนว่าเรื่องความสามารถนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมก็ดีใจเหลือเกินที่สามารถช่วยสนับสนุนโครงการและกิจการของซัปโปโรและฮอกไกโดในด้านการบุกตลาดเอเชียได้" นั่นคือสิ่งที่ประธานกล่าวออกมาในแง่ของธุรกิจ ส่วนในแง่ของฟุตบอลนั้น "ในด้านฟุตบอลนั้น ผมอยากให้นักเตะในเอเชียนั้นตั้งเป้าที่อยากจะมาค้าแข้งในเจลีคให้ได้เลย" นั่นเอง
 
  ทางคุณโคยามะก็กล่าวเสริมว่า "ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ซึ่งนั่นเป็นปริมาณที่มากกว่าญี่ปุ่นถึง 5 เท่า หากดาวเด่นของแต่ละพื้นที่มารวมกันในเจลีคล่ะก็ ระดับของเจลีคนั้นต้องทัดเทียมฟุตบอลในยุโรปได้อย่างแน่นอน"