――ความแตกต่างระหว่างไทยกับญี่ปุ่นนี่มีมากหรือเปล่าครับ?
 
"นั่นสินะครับ ในไทยมีเตะกันในวันจันทร์ พุธและวันอาทิตย์ จึงหมายความว่าในหนึ่งสัปดาห์มีเวลาฝึกเพียงแค่ 3 วัน แต่กระนั้นก็ยังสามารถเรียกสภาพความฟิตให้พร้อมเตะได้ครับ แต่กับญี่ปุ่นที่เล่นฟุตบอลกันอย่างรวดเร็วนั้น ความฟิตในระดับนี้ยังไม่เพียงพอ ต่อให้มีแรงจนเตะในเมืองไทยตลอด 90 นาทีได้ก็ตาม แต่กับของในญี่ปุ่นแค่ 60-70 นาทีขาก็แทบจะไม่มีแรงเหลือแล้วครับ ผมยังจำได้เลยว่าครั้งแรกที่ตัวเองขาชานั้นรู้สึกยังไงบ้าง"

 
――ตอนนี้ผ่านไป 20 เกมที่ได้ลงเล่นในลีคแล้ว(บทความนี้สัมภาษณ์ในวันที่ 29 สิงหาคมซึ่งในขณะนั้นมีเกมการแข่งขันในลีคทั้งหมด 24 เกม) ช่วยแสดงความคิดเห็นถึงช่วงที่ผ่านมาด้วยครับ
 
"สิ่งที่ทำให้ผมดีใจเหนือสิ่งอื่นใดคือการที่ได้ลงแข่งต่อเนื่องครับ ผมรู้สึกว่าการเตรียมตัวกับการฟิตร่างกายที่ตัวเองทำมานั้นมันตอบโจทย์ นอกจากนั้นภายหลังการจบการแข่งขันในแต่ละนัด ผมก็จะไปทำการย้อนดูใหม่อีกครั้งเพื่อหาว่าตัวเองทำพลาดไปตรงจุดไหนเพื่อทำการแก้ไขครับ การเรียนรู้ในข้อบกพร่องของตัวเองที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนนั้นคือปัจจัยสำคัญในการพัฒนาตัวเองให้เติบโตขึ้น ยิ่งในช่วงหลังมานี้ผมก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้กระทบไหล่นักเตะชื่อดังระดับโลกอย่างทั้งอิเนียสต้า โพโดลสกี้และ Kim Seung-gyu มากเลยครับ"

――แรงกระตุ้นที่ได้รับจากการเล่นกับอิเนียสต้าและโพโดลสกี้คืออะไรเหรอครับ?
"พวกเขาต่างก็เป็นนักเตะระดับสูงกันหมดเลยครับ เพราะฉะนั้นผมจึงจำเป็นต้องยกระดับของตัวเองขึ้นเพื่อให้เข้ากับสไตล์การเล่นของพวกเขาให้ได้ครับ มันเลยกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวของผมเอง มันทำให้ผมมีโอกาสซึมซับทักษะของพวกเขาได้ครับ"
 

――เคยได้รับคำแนะนำบ้างไหมครับ?
 
"ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยครับ แต่มีครั้งหนึ่งที่ผมเคยถามอิเนียสต้าไปว่า "อยากให้ผมเล่นแบบไหนเหรอครับ?" ซึ่งอิเนียสต้าก็ตอบว่า "ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้เพื่อผม หน้าที่ของคุณคือการแสดงสไตล์ของตัวคุณเองให้ออกมาครับ" มันทำให้ผมสัมผัสได้อีกครั้งเลยว่า อิเนียสต้าคือนักเตะมืออาชีพตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะครับ"
 
บทสัมภาษณ์ยังมีต่อใน Part 2
 
ข่าวโดย ทาดะ เทปเป (Soccer Digest Editorial Desk)
ล่ามโดย Narit Jampalee