การแข่งขัน J1 นัดสุดท้ายที่แสนคึกคัก ธีราทร บุญมาทันแห่งสโมสร Yokohama F. Marinos กลายเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถชูถ้วยแชมป์ J-League ได้ โดยในวันถัดมานักเตะชาวไทยอีกหนึ่งคนที่ค้าแข้งอยู่เจลีกเหมือนกันนั้นก็สามารถฝากรอยเท้าของเขาเอาไว้ในนัดสุดท้ายได้ ที่พูดถึงกันอยู่นั้นคือการแข่งขันที่สนาม Komazawa Olympic Park ที่เป็นสนามการแข่งขันนัดสุดท้ายของศึก J3 นั่นเอง
ชื่อของเขาคือณัฐวุฒิ สุขสุ่ม ชื่อเล่นคือเบียว เขาคือนักเตะวัย 22 ปีที่ย้ายจากสโมสรบางกอกยูไนเต็ดมาเล่นยืมตัวอยู่กับ FC Tokyo ทว่าเขาไม่ได้ลงสนามกับทีมชุดใหญ่ใน J1 เลย แม้กระทั่งสนาม J3 นั้นก็ลงแทบจะนับครั้งได้ วันวานของเขาที่มีแต่การฝึกฝนโดยไม่ปล่อยให้เครื่องฝืดนั้นในที่สุดก็มีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้น
ถ้อยคำของกุนซือรุ่น U-23 อย่างนากาซาวะ เทตสึมีดังต่อไปนี้
"ในวันแรกที่เขาได้เข้ามาอยู่กับสโมสรนั้นยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระบบฟุตบอลญี่ปุ่นได้ ไม่สามารถไล่ตามความเข้มข้นของระบบฟุตบอลญี่ปุ่นได้ วันวานผ่านพ้นไปโดยที่เขาได้แต่นั่งสำรอง จนกระทั่งในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่คุณเคน(นากาซาวะ เคนตะ กุนซือทีมชุดใหญ่ของ FC Tokyo) ได้เข้ามาช่วยดูนักเตะของทีมสองด้วย เขาก็พูดกับผมว่า "ไม่ใช้เขาเหรอ" คือในตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรครับ แต่พอลองส่งเขาลงตัวจริงดูก็พบว่าเขาสามารถทำประตูได้เลย สายตาของคุณเคนนี่แหลมคมมากเลยครับ(หัวเราะ)"
นักเตะชาวไทยที่ได้รับ "ลายเซ็นรับรอง" จากกุนซือทีมชุดใหญ่นั้น จึงทำให้กุนซือนากาซาวะเลือกใช้ณัฐวุฒิเป็นนักเตะตัวจริงในเดือนพฤศจิกายน
นักเตะผู้ได้รับลายเซ็นรับรองจากกุนซือฮาเซกาวะแห่ง FC Tokyo ซัด 2 ประตูแห่งความทรงจำในนัดสุดท้าย... หนุ่มน้อยคนไทยที่มาค้าแข้งในเจลีกนั้นจะได้เยือนศึกโตเกียวโอลิมปิกหรือไม่?
カテゴリ:Jリーグ
2019/12/17
วันถัดมาหลังกำเนิดชาวไทยคนแรกผู้คว้าแชมป์เจลีก...

ณัฐวุฒิ(ซ้าย)ซัด 2 ประตูในการแข่งขัน J3 นัดสุดท้าย เขากลายเป็นหนึ่งในหนึ่งเรี่ยวแรงสำคัญของทีมชาติไทยรุ่น U-23 ในทัวร์นาเมนต์ที่กำลังจะมาถึงนี้
(C) J.LEAGUE PHOTOS
การแข่งขันนัดสุดท้ายในวันที่ 8 ธันวาคมที่ต้องเจอกับสโมสร Gamba Osaka U-23 นั้นณัฐวุฒิก็ได้ลงเล่นตัวจริง นัดนี้ทีมเอาชนะได้ 5-1 ซึ่งตัวของณัฐวุฒิเองนั้นก็ยิงประตูไป 2 ลูก แต่ละประตูที่ยิงได้นั้นไม่ใช่ลูกที่เพื่อนจ่ายถวายพานให้เพื่อหวังเป็น "ของฝากกลับไทย" แต่เป็นความพยายามของเขาล้วน ๆ โดยแท้จริง โดยในประตูที่ 2 ที่เขายิงได้นั้นก็เป็นท่วงท่ายกเท้าเตะสูงประหนึ่งมวยไทย เรียกได้ว่าเป็นการแสดงความเป็นไทยได้ออกมาอย่างหนักแน่นดุดันมากเหลือเกิน
"ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกับเมืองไทยนั้น เลยมีปัญหา มีเรื่องที่ทำให้ลำบากใจเยอะเหมือนกันครับ แต่เป็นเพราะเพื่อนร่วมทีมและสตาฟคอยช่วยเหลือเอาไว้จึงทำให้ผมเอาตัวรอดได้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แล้วในนัดสุดท้ายนี้ผมก็ยิงได้ 2 ประตูด้วย ผมมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น มันกลายเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับผมเลยครับ"