การแข่งขันนัดสุดท้ายของ J1 ระหว่างซัปโปโรและฮิโรชิม่ามีความหมายพิเศษว่าเป็น "กลยุทธ์บุกเอเชีย" อีกด้วย
ชนาธิปที่มาในฐานะนักเตะยืมตัวเมื่อฤดูกาลก่อน ในฤดูกาลนี้ย้ายเข้าร่วมทีมอย่างเป็นทางการ ผลงาน 30 นัด 8 ประตู เขาสามารถโชว์ศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้อย่างโดดเด่น
ภาพโดย: โทคุฮาระ ทาคาโมโตะ
วันที่ 1 ธันวาคม การแข่งขัน J1 สิ้นลงอย่างเป็นทางการ ในวันนั้นสโมสรคอนซาโดเล่ซัปโปโรอันดับ 4 เปิดสนาม Sapporo Dome รับการมาเยือนของซานเฟรซเซ่ฮิโรชิม่าอันดับ 2 การแข่งขันในนัดนี้หากซัปโปโรเอาชนะได้จะได้เข้าไปลงแข่งในรายการ ACL โดยทันที ส่วนทางฮิโรชิม่าเองหากนัดนี้แพ้ล่ะก็มีความเป็นไปได้ที่จะร่วงลงไปอันดับ 4 ที่พลาดการแข่งขัน ACL ไปเลยด้วย ผู้ชมในสนามกว่าสามหมื่นคนอัดแน่นกันด้วยความบรรยากาศที่ตื่นเต้นและจริงจัง
นอกจากนั้นการแข่งขันในนัดนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจอีก 1 อย่าง นั่นคือนักเตะกำลังหลักสำคัญของทีมชาติไทยอย่างชนาธิปแห่งซัปโปโรและธีรศิลป์แห่งฮิโรชิม่าจะต้องมาฟาดแข้งกันเอง นี่เป็นศึกของนักเตะทีมชาติที่จะได้มาปะทะกันใน J1 ที่แสนน่าจับตามอง
"ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจดีไหม แต่โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกตื้นตันมากเลยครับ"
คำพูดดังกล่าวมาจากคุณโคยามะ เคย์ ฝ่ายการตลาดของ J-League ผู้ดูแลเรื่องกลยุทธ์ภูมิภาคเอเชียที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนการแข่งขันนัดดังกล่าวจะเริ่มต้นขึ้นจากการปะทะกันระหว่างนักเตะทีมชาติไทย 2 คนเพื่อแก่งแย่งพื้นที่หัวตารางมาเพื่อทีมของตนเองให้จนได้ เพราะฉะนั้นนี่จึงสามารถพูดได้เลยว่านัดนี้เป็นนัดพิเศษที่เกิดขึ้นได้จากการใช้กลยุทธ์การบุกตลาดเอเชียมานั่นเอง
ในปี 2013 ที่ดาวเตะทีมชาติเวียดนามเลกงวิญย้ายเข้ามาร่วมสโมสรซัปโปโรนั้นก็นับเป็นก้าวแรกในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจลีคกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นก็ยังมีนักเตะอินโดนีเซียอย่างเลกงวิญและอิรฟาน บัชดิม ที่เข้าร่วมทีมโคฟุและซัปโปโร หรือจะเป็นนักเตะอย่างเหงียนคองเฟืองที่เข้าสโมสรมิโต้ก็เช่นกัน "การทุ่มเททำงานจนได้สปอนเซอร์นั้นก็แสดงให้เห็นผลลัพธ์ออกมาแล้ว" (คุณโคยามะกล่าวเอาไว้) นั่นจึงบ่งบอกว่ากว่านักเตะเหล่านั้นจะมาโลดแล่นใน J1 นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่กระนั้นการมาเยือนของเจ้าของฉายา "เมสซี่เมืองไทย" ที่เข้าสู่สโมสรซัปโปโรตั้งแต่ฤดูร้อนปีก่อน รวมไปถึงธีรศิลป์และธีราทรนั้น สามนักเตะกำลังสำคัญของทีมชาติไทยสร้างผลงานโดดเด่นในเจลีค พวกเขาต่างก็กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในทีม เพราะฉะนั้นมาถึงจุดนี้แล้วจึงสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า กลยุทธ์การรุกเอเชียของเจลีคนั้นประสบความสำเร็จจนสร้างผลลัพธ์ออกมาในระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง
นอกจากนั้นการแข่งขันในนัดนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจอีก 1 อย่าง นั่นคือนักเตะกำลังหลักสำคัญของทีมชาติไทยอย่างชนาธิปแห่งซัปโปโรและธีรศิลป์แห่งฮิโรชิม่าจะต้องมาฟาดแข้งกันเอง นี่เป็นศึกของนักเตะทีมชาติที่จะได้มาปะทะกันใน J1 ที่แสนน่าจับตามอง
"ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจดีไหม แต่โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกตื้นตันมากเลยครับ"
คำพูดดังกล่าวมาจากคุณโคยามะ เคย์ ฝ่ายการตลาดของ J-League ผู้ดูแลเรื่องกลยุทธ์ภูมิภาคเอเชียที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนการแข่งขันนัดดังกล่าวจะเริ่มต้นขึ้นจากการปะทะกันระหว่างนักเตะทีมชาติไทย 2 คนเพื่อแก่งแย่งพื้นที่หัวตารางมาเพื่อทีมของตนเองให้จนได้ เพราะฉะนั้นนี่จึงสามารถพูดได้เลยว่านัดนี้เป็นนัดพิเศษที่เกิดขึ้นได้จากการใช้กลยุทธ์การบุกตลาดเอเชียมานั่นเอง
ในปี 2013 ที่ดาวเตะทีมชาติเวียดนามเลกงวิญย้ายเข้ามาร่วมสโมสรซัปโปโรนั้นก็นับเป็นก้าวแรกในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจลีคกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นก็ยังมีนักเตะอินโดนีเซียอย่างเลกงวิญและอิรฟาน บัชดิม ที่เข้าร่วมทีมโคฟุและซัปโปโร หรือจะเป็นนักเตะอย่างเหงียนคองเฟืองที่เข้าสโมสรมิโต้ก็เช่นกัน "การทุ่มเททำงานจนได้สปอนเซอร์นั้นก็แสดงให้เห็นผลลัพธ์ออกมาแล้ว" (คุณโคยามะกล่าวเอาไว้) นั่นจึงบ่งบอกว่ากว่านักเตะเหล่านั้นจะมาโลดแล่นใน J1 นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่กระนั้นการมาเยือนของเจ้าของฉายา "เมสซี่เมืองไทย" ที่เข้าสู่สโมสรซัปโปโรตั้งแต่ฤดูร้อนปีก่อน รวมไปถึงธีรศิลป์และธีราทรนั้น สามนักเตะกำลังสำคัญของทีมชาติไทยสร้างผลงานโดดเด่นในเจลีค พวกเขาต่างก็กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในทีม เพราะฉะนั้นมาถึงจุดนี้แล้วจึงสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า กลยุทธ์การรุกเอเชียของเจลีคนั้นประสบความสำเร็จจนสร้างผลลัพธ์ออกมาในระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง