จากนั้นโมเรโน่ก็เข้าไปพบกับหลุยส์ เอ็นริเก้ในช่วงก่อนวันที่ 12 กันยายนด้วย "เขาบอกว่าเขาภาคภูมิใจในตัวผม ถ้าเขาอยู่ในจุดเดียวกันก็คงทำเหมือนผม เขาดีใจและภาคภูมิใจมาก" แล้วก็ระบุเพิ่มเติมว่า

  "หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น(เสียลูกสาวไป) ผมก็อยากที่จะเจอกับเขาในช่วงหนึ่งสัปดาห์ให้หลังจากนั้น อยากจะแสดงความรักและเป็นกำลังใจให้กับเขา อยากจะกอดเขาเหลือเกิน แล้วผมก็รู้สึกอย่างที่พูดไปจริง ๆ ในงานแถลงข่าวว่าหากเขาปรารถนาที่จะกลับมาล่ะก็ผมก็พร้อมที่จะไป"

  "แต่ผมตกใจกับคำตอบมากเลย "นายมันสมบูรณ์แบบมาก แต่ฉันจะไม่พึ่งนายอีกแล้ว แต่ยังพึ่งคนอื่นอยู่" คือผมช็อคมาก ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตัวเองผิดอะไร ไม่เข้าใจเลย"

  จากนั้นโมเรโน่ก็ระบุว่า "แล้วผมก็เพิ่งทราบมาว่าเขาปรารถนาที่จะกลับมาคุมทีม หลังจบเกมกับ Cadiz(ในวันที่ 15)ก็ถูกพวกนักข่าวอย่างพวกคุณ ๆ ถามมานี่แหละถึงทำให้ผมเข้าใจในตอนนั้น"

  "ผมทำการติดต่อทางสมาพันธ์ไปอย่างจริงใจ ผมไม่อยากให้มันมีความวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นแล้วก็ยินยอมที่จะเป็นฝ่ายถอยออกมาแทน พูดตามตรงแล้วผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าผมทำผิดอะไรที่ทำให้หลุยส์ เอ็นริเก้ไม่ต้องการให้ผมมาช่วยงานอีกครั้ง มันคงไม่มีทางที่ผมจะเข้าใจจริง ๆ แน่ อย่างในงานสัมภาษณ์เมื่อวานผมก็ไม่อยากจะเปิดดูหรอกนะ แต่ได้ยินมาว่าในงานนั้นก็ไม่ได้มีคำอธิบายอะไรเลย แต่ผมก็ต้องระบุว่าผมไม่ได้เป็นคนแบบที่โดนป้ายสีใส่แบบนั้น ผมไม่ใช่คนอย่างนั้นเลย ผมดีใจมากกว่าใครจริง ๆ ที่เขากลับมาเป็นกุนซืออีกครั้ง ผมอยากจะให้ทีมงานชุดนี้คว้าแชมป์ยูโรมาครองให้ได้"
 

  เป็นความจริงหรือไม่ที่ทางสมาพันธ์ต้องการจะให้โมเรโน่คุมทีมไปจนถึงช่วงยูโรตั้งแต่ที่เอ็นริเก้ประกาศออกทีมไป เนื้อความที่ให้สัมภาษณ์ในวันที่ 12 กันยายนเป็นจริงหรือไม่ ไหนจะมีเรื่องที่หลุยส์ เอ็นริเก้ระบุว่าได้เจอกันเพียงแค่วันนั้น ส่วนทางโมเรโน่บอกว่าได้เจอกันก่อนหน้านั้นที่ไม่ตรงกันอีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องที่โมเรโน่ทราบล่าช้ากว่าใครอื่นเรื่องที่เอ็นริเก้ปรารถนาจะเข้ามาคุมทีม... MARCA พยายามแสดงให้เห็นถึงจุดแตกต่างที่ย้อนแย้งกันออกมา

  ท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนแรงนี้ ก็น่าสนใจเหลือเกินว่าผลงานของทีมชาติสเปนภายใต้การคุมของหลุยส์ เอ็นริเก้นั้นจะแสดงพลังออกมาอย่างไร

ข่าวโดย กองบรรณาธิการ Soccer Digest