แม้ในรอบกรุ๊ปสเตจจะเจอกับทีมญี่ปุ่นแล้วพ่ายไป 1-3 ก็ตาม แต่กุนซือคาเกยามะก็ยังคอมเมนต์ว่า "สามารถเล่นบอลเชื่อมต่อกันได้ดี นักเตะมีความสามารถสูง" นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการดวลตัวต่อตัวที่ 54.9% ต่อ 45.1% อยู่เหนือกว่าญี่ปุ่นอีกด้วย (ซึ่งนั่นระบุถึงความสามารถในการรับเหตุการณ์วิกฤติ)
 
  สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมกับญี่ปุ่นและเกมกับกาตาร์นั้นคือความผิดพลาดของผู้รักษาประตูที่รับลูกกระฉอกจนเป็นผลให้เสียคะแนนไป ทางญี่ปุ่นเองที่เคยมีปัญหาแบบนั้นก็เลยพยายามตั้งโครงการปลุกปั้นและเพิ่มความแข็งแกร่งของผู้รักษาประตูมาก่อนแล้ว
  
 
  ในทางเดียวกันนั้นก็ทำให้เห็นว่า ในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นักเตะรุ่นใหม่แบบนี้ ผู้รักษาประตูของทีมชาติญี่ปุ่นก็มีเทคนิคชั้นสูงที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด สามารถป้องกันลูกระยะกลาง ระยะไกลและช่วยทีมในภาวะวิกฤติได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมยังตอบรับต่อความผิดพลาดได้ดีอีกด้วย
 
  หลังจากที่สมาพันธ์ฟุตบอลไทยและญี่ปุ่นทำสัญญา Partnership ต่อกัน จึงทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อ "พัฒนาศักยภาพของบุคลากร (ภาวะความเป็นผู้นำและการอบรมเยาวชน)" ต่อกันและกัน การได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบนี้ ในอนาคตอาจจะให้กำเนิดผู้รักษาประตูแนวคิดใหม่ที่ดีเยี่ยมแบบไม่เคยมีมาก่อนก็เป็นได้

  หลังจบการแข่งขัน กุนซือทีมชาติไทยรุ่น U-19 ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า
 
  "โดยภาพรวมแล้ว พวกเราได้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจากทัวร์นาเมนต์ที่อินโดนีเซียมาเยอะมากเหลือเกิน มีปัจจัยที่ดีหลายอย่างที่เราได้รับ จนกว่าจะถึงทัวร์นาเมนต์ครั้งหน้า ผมจะทำให้นักเตะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น หวังว่าจะสามารถยกระดับความสามารถของพวกเขาขึ้นไปให้ได้ครับ"
 
  ทัวร์นาเมนต์ต่อไปของนักเตะรุ่นนี้คือการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกปี 2020 ที่กรุงโตเกียวในรอบคัดเลือก หากเอาความเสียใจนี้เป็นบทเรียนเพื่อล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ล่ะก็ การที่ทีมชาติไทยจะได้ไปเยือนฟุตบอลโอลิมปิกที่สนามแข่งของกรุงโตเกียวนั้นก็จะไม่เป็นเพียงแค่ความฝันอีกต่อไป ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สัมผัสได้จากการแข่งขันที่อินโดนีเซียนั่นเอง
 
ข่าวโดย สึกะโคชิ ฮาจิเมะ