Pick Up!

  • トップ
  • ニュース一覧
  • แฟนบอลอุลตร้าส์เหยียดสีผิว "หมอนั่นไม่ใช่คนอิตาลี" บาโลเตลลี่โต้ว่า "พวกนายมันบ้าไปแล้ว" อย่างดุเดือด!

แฟนบอลอุลตร้าส์เหยียดสีผิว "หมอนั่นไม่ใช่คนอิตาลี" บาโลเตลลี่โต้ว่า "พวกนายมันบ้าไปแล้ว" อย่างดุเดือด!

カテゴリ:ワールド

サッカーダイジェストWeb編集部

2019/11/05

นายกเทศมนตรีเมืองเวโรน่าระบุ "ทุกคนตกใจกันหมด"

บาโลเตลลี่ผู้ปรี๊ดแตกกับการตะโกนเหยียดสีผิวในเกมกับเวโรน่า แม้การแข่งขันจะจบลงแต่ก็ดูเหมือนว่าเขายังโดนเหยียดหยามต่อ

(C) Getty Images

画像を見る

  ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติของอิตาลีนั้นมันหยั่งลึกลงไปถึงรากเหง้าเลย

  วันที่ 3 พฤศจิกายนตามเวลาท้องถิ่น การแข่งขันเซเรียอานัดที่ 11 สโมสร Brescia ที่มีมาริโอ บาโลเตลลี่สังกัดอยู่นั้นต้องบุกไปเยือน Verona ซึ่งบาโลเตลลี่ที่เดือดจัดจากการโดนตะโกนเหยียดผิวจึงทำการอัดบอลใส่แฟนเจ้าถิ่น หลังจากนั้นเขาก็ยังโดนตะโกนเหยียดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์หน้าทีมชาติอิตาลีที่เจ็บปวดชอกช้ำนั้นก็ได้กำลังใจอย่างล้นหลามจากทั่วสารทิศ

  ทว่าในวันรุ่งขึ้น ระดับบิ๊กของกลุ่มแฟนบอลหัวรุนแรง(อุลตร้าส์)นั้นก็ให้สัมภาษณ์ก็แถลงว่า "บาโลเตลลี่แค่มีสิทธิความเป็นพลเมืองอิตาลีเท่านั้น แต่เขาไม่ใช่คนอิตาลีสักหน่อย" จากการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์อิตาลี Gazzetta dello Sport

  "เสียงตะโกนเหยียดสีผิวมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน อาจจะมีการล้อเลียนเรื่องหนวด เครา ทรงผม กลุ่มคนทางใต้และกลุ่มคนที่ไม่ใช่ผิวขาวก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่การเหยียดเชื้อชาติที่เจาะจงแต่อย่างใด มีแค่บาโลเตลลี่เท่านั้นที่บ้าไปเอง"

  "ทีมของพวกเรามีคนนิโกรด้วย เมื่อวานเขาก็ทำประตูได้แล้วทุกคนก็ปรบมือให้ด้วย"

  ทาง Gazzetta dello Sport ได้ลงคำตอบโต้ของบาโลเตลลี่ที่อัพในอินสตาแกรมว่า "เหลือเชื่อเลย!" "แถลงอะไรได้น่าไม่อายมาก" พร้อมกับลงข้อความว่า "มันไม่เกี่ยวกับฟุตบอลแล้ว นี่มันเป็นปัญหาเรื้อรังทางสังคมที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวตนที่แสนกระจ้อยร่อยของพวกนายเสียอีก"

  "พวกนายมันบ้าไปแล้ว ตาสว่างสักทีเถอะ พวกนายน่ะเป็นต้นตอของความผิดโดยแท้เลย ถ้าสมมติว่าฉันทำประตูให้อิตาลีได้ล่ะ ไม่สิ ไม่ต้องสมมติหรอก ฉันจะพิสูจน์ให้ดูเองว่าฉันจะยิงประตูให้อิตาลีให้ได้ แค่นี้ก็จบแล้วใช่ปะ?"

  ปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวเป็นประเด็นที่ซับซ้อนมาก ยังมีแฟน ๆ บางกลุ่มของบางสโมสรที่คัดค้านการรณรงค์ของทางสโมสรเรื่อง "NO RACISM" ที่ติดเป็นป้ายหรือสติ๊กเกอร์อีกด้วย

  ทางนายกเทศมนตรีเมืองเวโรน่าที่เข้ามาชมการแข่งขันในวันที่ 3 ที่ผ่านมาก็ยังระบุว่า "ตอนนี้บาโลเตลลี่เตะบอลอัดใส่ฝั่งผู้ชมนั้นทุกคนตกใจมากเลย" เจ้าตัวพูดเช่นนั้น

  "ทุกคนตกใจกันหมดเลย เพราะมันไม่มีการตะโกนเหยียดสีผิวแต่กลับปรักปรำใส่แฟน ๆ และชาวเมืองเวโรน่าว่าเป็นพวกเหยียดสีผิวไปเสียได้ แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว"

  นอกจากนั้นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ระบุว่า "การเหยียดผิวเป็นเรื่องที่ควรประนามโดยทั้งปวง" และ "แต่ผู้ใช้แรงงานของอิลวา(ที่ประสบปัญหาการตกงานอย่างมหาศาล)ยังมีค่ามากกว่าบาโลเตลลี่ 10 คนด้วยซ้ำ"

  ทว่าปัญหาของบาโลเตลลี่นั้นเป็นเรื่องใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ มีการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเรื่องนี้จากทางการรัฐบาลอิตาลีรวมไปถึงสมาพันธ์ฟุตบอลและผู้ที่เกี่ยวข้อง

  สิ่งที่แน่ชัดคือปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวนั้นมีมาอย่างยาวนาน แม้ตอนนี้จะดำเนินมาถึงปี 2019 แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจางหายไปไหน แต่มันคือปัญหาที่ต้องร่วมสู้ฝ่าฟันกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

  ล่าสุด Kevin-Prince Boateng อดีตนักเตะของเอซีมิลานที่เคยถูกตะโกนเหยียดสีผิวใส่ในการแข่งขันกระชับมิตรจนเจ้าตัวเดินออกจากสนามไปได้อัพข้อความผ่านทางโลกออนไลน์ดังนี้

  "ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อนเลย แต่พวกเราก็ไม่มีวันยอมแพ้! พวกเราต้องร่วมกันสู้กับปัญหาการเหยียดเชื้อชาติกันต่อไป!"

ข่าวโดย กองบรรณาธิการ Soccer Digest

Facebookでコメント