ในเกมกระชับมิตรกับเอลซาวาดอร์ คุโบะ ทาเคฟุสะได้ลงเล่นในฐานะทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มเตรียมตัวลงสนามนั้นก็ทำให้ผู้ชมส่งเสียงเฮลั่นประหนึ่งทีมทำประตูได้ จนเมื่อเขาเข้ามาในสนามทันใดบรรยากาศในสนามทั้งผู้ชมและสื่อต่างก็คึกคักกันทั้งสิ้น แม้กระทั่งผู้เขียนที่เป็นชาวอังกฤษเองนั้นก็ยังรู้สึกประทับใจไม่น้อยเลยกับบรรยากาศดังกล่าว เหตุการณ์นี้คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์
 
  สำหรับนักเตะวัย 18 ที่มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดนั้น หากเขาจะได้รับการปฏิบัติเปรียบดั่งซุเปอร์สตาร์แล้วต้องดิ้นรนต่อสู้ภายในบรรยากาศร้อนระอุที่แสนสาหัสล่ะก็มันจะไม่เป็นผลดีกับการเจริญเติบโตของเขาแน่ โดยส่วนตัวแล้วอยากให้เขาไม่ต้องคิดเรื่องรอบข้างมากนัก อยากให้พากเพียรศึกษาในฐานะนักเตะอายุน้อยทั่วไปจะดีกว่า
 
  คุโบะมีพรสวรรค์พิเศษ เขาแสดงให้เห็นถึงความพัฒนาและความทุ่มเทที่โดดเด่นออกมา คุโบะมีสไตล์ฟุตบอลที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เพราะฉะนั้นหากจะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับดาวเตะญี่ปุ่นที่มีมาตลอดนั้นคงเป็นเรื่องยากพอสมควร เขาไม่เหมือนทั้งนากาตะ ไม่เหมือนทั้งโอโนะ ไม่เหมือนกับนากาจิมะนักเตะทีมชาติในยุคปัจจุบันอีกด้วย

  เขาคอยดูสถานการณ์ในสนาม คอยวิ่งเข้าหาประตูอย่างเป็นเส้นตรง มีทักษะในการตัดสินใจที่รวดเร็วและพลังจินตนาการกว้างใหญ่ไพศาล เขาสามารถแตะบอลหนึ่งจังหวะเพื่อสร้างประสิทธิผลออกมาได้อย่างดีเยี่ยม มีความสามารถในการลากเลื้อยทะลุทะลวงและการเคลื่อนไหวที่เบาหวิว หากใครเห็นจังหวะพลิกบอลแล้วเร่งความเร็วพุ่งไปล่ะก็ พวกเขาต่างก็ต้องคิดว่า "เร็วมาก" "คมมาก" "มีพรสวรรค์มากจริง ๆ" อย่างแน่นอน
 
  นอกจากนั้นคุโบะยังสามารถเล็งประตูได้ เขามีทักษะในการจบสกอร์ที่ดีอ้กด้วย
 
  ความโดดเด่นของเขาที่จะเป็นปัจจัยให้กลายเป็นตำนานนั้น ไม่ใช่กับเกมทีมชาตินัดแรกแต่เป็นประตูที่ 2 ที่ทำได้ในวันที่ 1 มิถุนายนของเกมที่เจอกับโออิตะ ในช่วงนาที 90+1 ที่เขาทำประตูได้อย่างน่าประทับใจนั้น บางทีนั่นอาจจะกลายเป็นประตูสุดท้ายในเจลีกของเขาแล้วก็เป็นได้
 

  ทางฝั่งสโมสรนั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว เขาไม่คิดจะพูดอะไรกับคุโบะจนถึงช่วงสุดท้าย แม้หลังการแข่งขันจบลงจะเป็นการฟีเจอร์ถึงโมริชิเงะนักเตะวัยเก๋าของทีมก็ตาม แต่ชัยชนะในนัดนั้นก็ทำให้ FC Tokyo รักษาตำแหน่งจ่าฝูงโดยเว้นระยะห่างจากอันดับ 2 อยู่ถึง 6 แต้มได้ เพราะฉะนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ที่แก้ปัญหาความฝืดในการทำประตูของทีมที่มีในฤดูกาลก่อนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเจ้าหนูคุโบะวัย 17 ปีนี่เอง หากเขาย้ายออกจากทีมจริงล่ะก็ มันต้องมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับทีมที่อยู่ตำแหน่งจ่าฝูงอย่างแน่นอน แทบจะไม่ค่อยเห็นนักเตะวัย 18 หยก ๆ คนไหนที่สร้างอิทธิพลไปทั่วทั้งโลกได้ขนาดนี้
 
  ในการให้สัมภาษณ์หลังจบการแข่งขัน กุนซือฮาเซกาวะก็ยังรำพึงในทำนองว่า "ทำไมถึงออกไปด้วยล่ะนะ" ก็น่าสนใจเหลือเกินว่าทีมโตเกียวที่ปราศจากคุโบะนั้นจะยังรักษาตำแหน่งหัวตารางได้หรือไม่ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าพวกเขาทำได้แน่ ทว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ได้มีน้อยเลย
 
  แต่ก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าอนาคตจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นเหมือนเดิมหรือไม่ ผู้ที่กังวลเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ FC Tokyo เท่านั้น ขณะนี้คุโบะเพิ่งอายุ 18 เอง วัย 18 ปีนี้ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คือวัยเข้าสู่รั้วมหาลัย นอกจากนั้นยังเป็นวัยที่นักเตะฟุตบอลควรเข้าสู่รั้วทีมใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา FC Tokyo คอยชุบเลี้ยงเขามาจนเติบโตได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ให้เล่นใน J3 คอยลดพื้นที่ข่าวและดูแลปกป้องคุโบะมาเป็นอย่างดีอยู่โดยตลอด กระนั้นเมื่อติดทีมชาติชุดใหญ่สภาพแวดล้อมของเขาก็จะกลายเป็นโลกใหม่ ไม่ใช่ขอบเขตจำกัดในญี่ปุ่นอีกต่อไป เพราะฉะนั้นหากจะพัฒนาไปให้ได้มากยิ่งกว่านี้ก็คงหนีไม่พ้นทางเลือกอย่างการไปค้าแข้งที่ต่างแดนก็เป็นได้