เหตุการณ์สุดช็อคในวงการลูกหนังรัสเซีย

  วันที่ 8 พฤษภาคมตามเวลาท้องถิ่น BBC ได้รายงานข่าวจาก "ศาลพิพากษากรุงมอสโคว" ว่า อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติรัสเซีย Pavel Mamayev และกองหน้า Aleksandr Kokorin ถูกพิพากษาให้ต้องโทษจำคุก

  การตัดสินจำคุกอดีตนักเตะทีมชาติทั้งสองคนนั้นสร้างความสั่นสะเทือนอย่างยิ่งในวงการลูกหนัง เรื่องราวเกิดขึ้นจากข่าวฉาวของพวกเขาทั้งสองคน

  เมื่อเดือนตุลาคมของปีก่อน ทั้งมามาเยฟและโคโครีนได้มีปากเสียงกับข้าราชการกระทรวงการค้าภายในคาเฟ่ติดโรงแรมหรูในตัวเมืองมอสโคว โดยเจ้าตัวนักฟุตบอลได้ยกเก้าอี้ทำร้ายร่างกายข้าราชการผู้นั้น โดยหนึ่งในผู้เสียหายคุณเดนิส ปาร์คนั้นคือชาวรัสเซียผู้มีสายเลือดเกาหลีใต้ได้ระบุว่า เจ้าตัวถูกทำร้ายร่างกายจนแขนหักแล้วยังถูกใช้คำเหยียดเชื้อชาติอีกด้วย

  หลังการก่อเหตุทั้งสองผู้ต้องหาก็ทำการหลบหนี แต่เนื่องจากมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดของคาเฟ่ที่บันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างเด่นชัด ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกตำรวจท้องถิ่นตามจับตัวในท้ายที่สุด
  
 

  แม้จะใช้เวลาสืบสวนสอบสวนเป็นเวลากว่าครึ่งปีเลยก็ตาม แต่จากการรายงานของ BBC ระบุว่า ทางฝั่งอัยการได้ระวางโทษจำคุกจำเลยโคโครีนเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนและมามาเยฟเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน

  นอกจากนั้นในเช้าวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองคนยังมีการทำร้ายร่างกายผู้สื่อข่าวหญิงของสถานีโทรทัศน์ด้วยการจับศีรษะกระแทกเบาะที่นั่งจนสมองได้รับการกระทบกระเทือน เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ยังอยู่ในระหว่างไต่สวน มีความเป็นไปได้ว่าจะโดนโทษจำคุกเพิ่มอีกกระทง

  โคโครินนั้นในเกมทีมชาติเขาลงเล่นไปทั้งหมด 48 นัดทำไป 12 ประตูนอกจากนั้นก็ยังเป็นหัวหอกคนสำคัญของทีม Zenit St. Petersburg ลีกในประเทศอีกด้วย ส่วนทางมามาเยฟนั้นในช่วงปี 2007-2013 เขาก็เป็นหนึ่งในกำลังหลักสำคัญของ CSKA Moscow ที่เคยลงเล่นร่วมกับมิดฟิลด์ทีมชาติญี่ปุ่นอย่างฮอนดะ เคย์สุเกะอีกเช่นกัน

  ทางรายการโทรทัศน์ Russia Today ได้ลงรายละเอียดของสองนักเตะผู้มากความสามารถในข่าวว่า "คดีความที่หลายฝ่ายให้ความสนใจนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของทั้งสองนักเตะคือหลักฐานที่เชื่อมโยงไปกับโลกใต้ดินที่ดำมืดของวงการฟุตบอลรัสเซีย" เป็นการลงข่าวเช่นนั้น

  ทางสมาพันธ์ฟุตบอลรัสเซียก็รีบแถลงข่าวว่า "ทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกับทีมชาติรัสเซ๊ย" แต่ก็น่าสนใจเหลือเกินว่าหากพวกเขาพ้นโทษเมื่อไรจะกลับมาค้าแข้งต่อหรือไม่ ต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป

ข่าวโดย กองบรรณาธิการ Soccer Digest