การที่สโมสรเรียลมาดริดจะปลดยูเลน โลเปเตกีเมื่อไรนั้นก็คงเป็นเรื่องของเวลาเพียงอย่างเดียว เพียงแต่ว่าประธานเปเรซก็คิดว่า การปลดตัวกุนซือให้ออกไปจากทีมนั้นก็เหมือนกับเป็นการแก้ปัญหาอย่างที่สอง ไม่ได้แก้ปัญหาหลักของทีมที่ตกต่ำลงไปได้เลยแม้แต่น้อย
ปัญหาที่เกิดขึ้นของเรียลมาดริดในฤดูกาลนี้นั้น เริ่มต้นจากการไม่สามารถเสริมทัพนักเตะ ตัวนักเตะเก่าที่มีอายุมากขึ้นผสมกับการที่กุนซือโลเปเตกีไม่สามารถเข้ามากุมบังเหียนคุมทีมต่อได้ดีนัก ส่งผลให้ทีมไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้ดีเท่าที่ควร หากทีมยังไม่สามารถหามาตรการรับมือใด ๆ ได้ล่ะก็ สภาวะของทีมตกต้องต่ำลงไปยิ่งกว่าเดิมถึงขั้นเรียกว่าตกขุมนรกเลยก็ว่าได้
การที่มีศูนย์หน้าเพีงแค่คนเดียวนั้น "เป็นสิ่งที่ทั้งฝั่งบริหาร กัปตันกล่าวปฏิเสธออกสื่ออย่างเดียว" แต่ทว่าจากข่าววงในของในสโมสรก็ระบุว่า "ต้นเหตุเกิดจาก ประธานเปเรซไม่พึงพอใจแผนการเสริมทัพของโลเปเตกี จนทำให้บรรยากาศความอึมครึมในห้องล็อคเกอร์นั้นยังคงดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้"
สิ่งที่เป็นผลสำคัญภายในตลาดซื้อขายช่วงที่ผ่านมานี้มีทั้งหมด 2 อย่าง หนึ่งก็คือการออกไปของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ สองก็คือการพลาดในการคว้าตัวเนย์มาร์มาเข้าร่วมทีม
การออกจากเรียลมาดริดไปของโรนัลโด้นั้น สิ่งที่ปรากฏออกสื่อคือ "ความปรารถนาของเจ้าตัว"
ทว่าในความเป็นจริงนั้น ทางคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ปฏิเสธการต่อสัญญากับทีมมาถึง 7 เดือนนั้น เลือกที่จะรับค่าเหนื่อยปีละ 30 ล้านยูโรจากข้อเสนอของสโมสรยูเวนตุสนั่นเอง
แม้ท้ายที่สุดสโมสรมาดริดจะเสนอให้ถึง 28 ล้านยูโรไปแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเขาได้อยู่ดี จนมีข่าวคราาวว่าทางเพื่อนนักเตะเก่า ๆ ในสโมสรเรียลมาดริดที่ไม่พึงพอใจแนวทางในปัจจุบันนี้นั้น ทุกวันนี้ก็ยังมีการโทรศัพท์ไปปรับทุกข์กับเขาอยู่เลย
【สดจากสนาม】สภาพทีมมาดริดที่มีหน้าเป้าหนึ่งเดียว「ประธานสโมสรในห้องล็อคเกอร์ไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง」
カテゴリ:メガクラブ
2018/10/27
ท่ามกลางความสับสน กุนซือโลเปเตกีก็ไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้

ประธานสโมสรเปเรซ(ขวา) "การหายไปของคริสโด้" และ "การชวดเนย์มาร์" นั้นเป็นสิ่งที่ส่งผลไม่ดีต่อตัวนักเตะในทีม ส่งผลให้กุนซือโลเปเกี(ซ้าย)ไม่อาจทำให้ทีมอยู่ในภาวะสงบนิ่งได้
(C)Getty Images
และสิ่งที่ยังทำให้เหล่านักเตะในสโมสรรู้สึกอึดอัดขึ้นไปอีกนั้น คือความไม่สบอารมณ์ของประธานเปเรซเรื่องที่ทีมไม่สามารถคว้าตัวเนย์มาร์มาได้นั่นเอง
ในเมื่อไม่สามารถยื่นข้อเสนอใด ๆ ให้กับโรนัลโด้ได้ ท้ายที่สุดแล้วเรียลมาดริดจึงตั้งใจจะคว้าตัวซุปเปอร์สตาร์อย่างเนย์มาร์และยื่นค่าเหนื่อยให้สูงถึงปีละ 50 ล้านยูโร ทว่ารายละเอียดของข้อเสนอดังกล่าวก็หลุดรั่วไปใก้หับเพื่อนนักเตะทีมชาติบราซิลอย่างทั้งมาเซโล่และคาเซมิโร่อีกด้วย
เงินค่าตัวที่พร้อมทุ่มให้เนย์มาร์นั้นกลับไม่สามารถจ่ายให้เดอะแบกประจำสโมสรอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ได้ การปฏิบัติกับนักเตะใหม่เยี่ยง VIP แบบนี้เลยทำให้เกิดความไม่พึงพอใจให้กับเหล่านักเตะเก่าที่สังกัดอยู่กับสโมสรเป็นอย่างยิ่ง
เลยทำให้นักเตะที่มีส่วนร่วมกับทีมในการคว้าแชมป์ยูฟ่ามา 3-4 หนอย่างมาร์เซโล่, โทนี่ ครูส, เคย์ลาร์ นาบาส, เดเนียล กัลเบาเฆา, คาเซมิโร่ และ ลูก้า โมลดริช ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ไม่แน่ว่ารายต่อไปนั้นอาจจะตกเป็นของพวกเขาก็เป็นได้
กุนซือโลเปเตกีที่ต้องมารับช่วงต่อสโมสรภายใต้สถานการณ์แบบนี้นั้น เขาก็มีแต่ความรู้สึกสับสนอย่างเดียว ซึ่งปัญหานั้นก็แสดงออกได้อย่างเห็นได้ชัดในเกมที่ 2 กับ Girona ที่มีการเปลี่ยนตัวมาร์เซโล่ทันทีในช่วงเริ่มครึ่งหลัง รวมทั้งการปลดเคย์ลาร์ นาบาส ออกจากตัวจริง (เกมที่ 3 กับ Leganes) ปลดครูสออกจากตัวจริงทั้งที่เขาคือส่วนสำคัญของสโมสร (นัดที่ 9 กับ Levante) เรียกได้ว่าเขาไม่รู้เหนือรู้ใต้ ลองผิดลองถูกมั่วไปหมดก็ไม่เกินไปกระมัง
ผลสุดท้ายแล้วแผนการปรับทีมยกใหญ่นั้นก็ส่งผลให้มีข้อครหาเรื่อง "ประธานเปเรซชอบใช้เงินทุ่มแบบไม่เข้าเรื่อง" ส่งผลให้นักเตะตัวจริงรู้สึกไม่พอใจ รวมทั้งเขายังมองว่ากุนซือ "เป็นคนไม่ได้เรื่อง" จนทำให้ภาพรวมภายในห้องล็อคเกอร์ของสโมสรนั้นเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศที่แสนอึมครึม จนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ฟันธงได้ว่า การจะปลดโลเปเตกีออกไปนั้นน่นาจะแก้ไขปัญหาในตอนนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
วันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ชัยชนะแบบกระเสือกกระสนต่อทีม Viktoria Plzeň ของสาธารณรัฐเช็กที่สกอร์ 2-1 นั้น ถือเป็นชัยชนะนัดแรกของทีมอย่างเป็นทางการในรอบ 5 นัดตั้งแต่เกมที่พ่ายเซบีย่าไป (เสมอ 1 แพ้ 4) สภาพความย่ำแย่ของทีมแบบนี้หากย้อนกลับไปครั้งสุดท้ายนั้นก็ในปี 2004 เลย ทำให้เปเรซสร้างนโยบาย "กาลักตีโกส" ออกมาแล้วใน 2 ปีให้หลังเขาก็ออกจากสโมสรไปในรอบแรก
ข่าวโดย ดิเอโก้ ตอร์เรส (หนังสือพิมพ์ El País / นักข่าวผู้รับประจำสโมสรเรียลมาดริด)
แปลโดย ชิโมมุระ มาซายูกิ
※เว็บไซต์ Soccer Digest คือผู้ถือลิขสิทธิ์การแปลหนังสือพิมพ์ El País ในญี่ปุ่นแต่เพียงผู้เดียว
ในเมื่อไม่สามารถยื่นข้อเสนอใด ๆ ให้กับโรนัลโด้ได้ ท้ายที่สุดแล้วเรียลมาดริดจึงตั้งใจจะคว้าตัวซุปเปอร์สตาร์อย่างเนย์มาร์และยื่นค่าเหนื่อยให้สูงถึงปีละ 50 ล้านยูโร ทว่ารายละเอียดของข้อเสนอดังกล่าวก็หลุดรั่วไปใก้หับเพื่อนนักเตะทีมชาติบราซิลอย่างทั้งมาเซโล่และคาเซมิโร่อีกด้วย
เงินค่าตัวที่พร้อมทุ่มให้เนย์มาร์นั้นกลับไม่สามารถจ่ายให้เดอะแบกประจำสโมสรอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ได้ การปฏิบัติกับนักเตะใหม่เยี่ยง VIP แบบนี้เลยทำให้เกิดความไม่พึงพอใจให้กับเหล่านักเตะเก่าที่สังกัดอยู่กับสโมสรเป็นอย่างยิ่ง
เลยทำให้นักเตะที่มีส่วนร่วมกับทีมในการคว้าแชมป์ยูฟ่ามา 3-4 หนอย่างมาร์เซโล่, โทนี่ ครูส, เคย์ลาร์ นาบาส, เดเนียล กัลเบาเฆา, คาเซมิโร่ และ ลูก้า โมลดริช ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ไม่แน่ว่ารายต่อไปนั้นอาจจะตกเป็นของพวกเขาก็เป็นได้
กุนซือโลเปเตกีที่ต้องมารับช่วงต่อสโมสรภายใต้สถานการณ์แบบนี้นั้น เขาก็มีแต่ความรู้สึกสับสนอย่างเดียว ซึ่งปัญหานั้นก็แสดงออกได้อย่างเห็นได้ชัดในเกมที่ 2 กับ Girona ที่มีการเปลี่ยนตัวมาร์เซโล่ทันทีในช่วงเริ่มครึ่งหลัง รวมทั้งการปลดเคย์ลาร์ นาบาส ออกจากตัวจริง (เกมที่ 3 กับ Leganes) ปลดครูสออกจากตัวจริงทั้งที่เขาคือส่วนสำคัญของสโมสร (นัดที่ 9 กับ Levante) เรียกได้ว่าเขาไม่รู้เหนือรู้ใต้ ลองผิดลองถูกมั่วไปหมดก็ไม่เกินไปกระมัง
ผลสุดท้ายแล้วแผนการปรับทีมยกใหญ่นั้นก็ส่งผลให้มีข้อครหาเรื่อง "ประธานเปเรซชอบใช้เงินทุ่มแบบไม่เข้าเรื่อง" ส่งผลให้นักเตะตัวจริงรู้สึกไม่พอใจ รวมทั้งเขายังมองว่ากุนซือ "เป็นคนไม่ได้เรื่อง" จนทำให้ภาพรวมภายในห้องล็อคเกอร์ของสโมสรนั้นเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศที่แสนอึมครึม จนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ฟันธงได้ว่า การจะปลดโลเปเตกีออกไปนั้นน่นาจะแก้ไขปัญหาในตอนนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
วันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา ชัยชนะแบบกระเสือกกระสนต่อทีม Viktoria Plzeň ของสาธารณรัฐเช็กที่สกอร์ 2-1 นั้น ถือเป็นชัยชนะนัดแรกของทีมอย่างเป็นทางการในรอบ 5 นัดตั้งแต่เกมที่พ่ายเซบีย่าไป (เสมอ 1 แพ้ 4) สภาพความย่ำแย่ของทีมแบบนี้หากย้อนกลับไปครั้งสุดท้ายนั้นก็ในปี 2004 เลย ทำให้เปเรซสร้างนโยบาย "กาลักตีโกส" ออกมาแล้วใน 2 ปีให้หลังเขาก็ออกจากสโมสรไปในรอบแรก
ข่าวโดย ดิเอโก้ ตอร์เรส (หนังสือพิมพ์ El País / นักข่าวผู้รับประจำสโมสรเรียลมาดริด)
แปลโดย ชิโมมุระ มาซายูกิ
※เว็บไซต์ Soccer Digest คือผู้ถือลิขสิทธิ์การแปลหนังสือพิมพ์ El País ในญี่ปุ่นแต่เพียงผู้เดียว