อุปสรรคสำคัญของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่คือเกมเยือน
มาดริดชนะ 1 เสมอ 1 ในคลาสิโก้ ถ้าคะแนนเท่ากันมาดริดจะเป็นจ่าฝูง (C) Getty Images
วันที่ 1 มีนาคมตามเวลาท้องถิ่น การแข่งขันลาลีกานัดที่ 26 ที่เป็นศึก El Clásico ถึงเรอัลมาดริดจะเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่างบาร์ซ่าได้ 2-0 แต่ในนัดถัดมากลับพ่ายต่อเรอัลเบติสจนทำให้บัลลังก์จ่าฝูงตกไปเป็นของบาร์ซ่าอีกครั้ง
หลังการแข่งขันนัดที่ 27 จบลงทั้งสองทีมมีคะแนนห่างกัน 2 แต้ม จากนี้ยังเหลือการแข่งขันอีกทั้งหมด 11 นัด ทั้งสองทีมต่างก็ไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบกันทั้งคู่ มีความเป็นไปได้ที่จะพลิกพ่ายในการแข่งขันบางนัดอย่างเกินคาด นอกจากนั้นอิทธิพลของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทำให้การแข่งขันนัดที่ 28-29 ต้องเลื่อนออกไป ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะกลับมาเตะกันอีกครั้งเมื่อไร เบื้องต้นก็คาดการณ์ว่าการแข่งขันนัดตกค้างทั้งหมดจะกลับมาเตะกันจนจบฤดูกาล บทความนี้จึงเป็นบทความวิเคราะห์ถึงการแก่งแย่งชิงแชมป์ของ 2 ทีมผู้ยิ่งใหญ่
เริ่มต้นจากฝั่งมาดริดที่อยู่อันดับ 2 มี 56 คะแนนนั้น การแข่งขันนัดที่ 28 จะเจอกับบาเลนเซียทีมอันดับ 7 ที่เพิ่งตกรอบเกม UEFA Champions League จนเหลือเพียงแต่การแข่งขันลาลีกาเพียงอย่างเดียว ทว่าเจ้าค้างคาวก็อยู่ในสภาพไม่ดีนัก การแข่งขัน 2 นัดกับ Atalanta ทีมเสียประตูไปถึง 8 ลูก นอกจากนั้นการแข่งขันนัดนี้ก็เป็นเกมบุกไปเยือนราชันชุดขาว นัดนี้มาดริดน่าจะเก็บชัยชนะได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรนัก
อันที่จริงอุปสรรคของ 2 ยักษ์ใหญ่คงเป็นเกมเยือนเสียมากกว่า ในนัดที่ 30 จะต้องเจอกับ Real Sociedad ที่อยู่ในฟอร์มดี และนัด 34 ต้องเจออันดับ 10 อย่าง Athletic Bilbao ด้วย
โดยเฉพาะ 4 นัดล่าสุดกับโซเซียดาดนั้นผลงานไม่สู้ดีเลย ชนะ 1 แพ้ 3 นับว่าเป็นอุปสรรคชิ้นโต ซึ่งผู้นำเกมรุกสไตล์ฟุตบอลสวยงามของโซเซียดาดนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น "เจ้าหนุ่มอัจฉริยะ" มาร์ติน โอเดการ์ดแห่งนอร์เวย์นักเตะของมาดริดที่เล่นยืมตัวอยู่ที่นี่นั่นเอง ผลงานอันยอดเยี่ยมของอัจฉริยะแข้งซ้ายในฤดูกาลนี้อาจทำให้เจ้าตัวถูกเรียกกลับมาติดทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลหน้าก็เป็นได้
ทางฝั่งของบิลเบาที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของ Copa del Rey ร่วมกันกับโซเซียดาดนั้นก็ไม่ใช่เล่น ๆ ผลงาน 5 นัดล่าสุดมาดริดชนะแค่ 1 เสมอถึง 4 นับว่าเป็นคู่แข่งที่เคี้ยวไม่ลงเท่าไรนัก บิลเบาเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลีกที่เสียเพียง 23 ประตูเท่านั้น เท่ากับว่าทีมมีเกมรับสุดแข็งแกร่ง บางทีมาดริดอาจจะทำคะแนนหล่นหายในนัดนี้ก็เป็นได้
ทางด้านเรอัลมาดริดที่มีเกมรับแข็งแกร่งที่สุดในลีกด้วยการเสียเพียง 19 ประตู เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการคว้าแชมป์ของมาดริดคือเกมรุก ซึ่งผู้ที่จะเป็นคีย์แมนของมาดริดคือวินิซิอุส จูเนียร์ที่ถึงช่วงหนึ่งจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับรุ่นน้องร่วมชาติอย่างโรดรีโก้ผู้มาใหม่แต่แซงหน้ารุ่นพี่ แต่เมื่อประกอบกับเอแดน อาซาร์ที่บาดเจ็บต้องพักอีกครั้งแล้ว โอกาสที่วินิซิอุสจะได้ลงสนามก็น่าจะมีเพิ่มขึ้น อย่างในเกมคลาสิโก้เขาก็แสดงทักษะลากเลื้อยพร้อมกับยิงประตูด้วยเท้าชั่งทองคำได้อีกด้วย เพียงแต่ก็ยังพูดยากเหลือเกินว่าเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหอกอย่างคาริม เบนเซม่า จุดสำคัญขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถประสานงานต่อกันได้ดีหรือไม่
ร่วมเชียร์ LaLiga กับ Sony กันเถอะ!
หลังการแข่งขันนัดที่ 27 จบลงทั้งสองทีมมีคะแนนห่างกัน 2 แต้ม จากนี้ยังเหลือการแข่งขันอีกทั้งหมด 11 นัด ทั้งสองทีมต่างก็ไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบกันทั้งคู่ มีความเป็นไปได้ที่จะพลิกพ่ายในการแข่งขันบางนัดอย่างเกินคาด นอกจากนั้นอิทธิพลของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทำให้การแข่งขันนัดที่ 28-29 ต้องเลื่อนออกไป ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะกลับมาเตะกันอีกครั้งเมื่อไร เบื้องต้นก็คาดการณ์ว่าการแข่งขันนัดตกค้างทั้งหมดจะกลับมาเตะกันจนจบฤดูกาล บทความนี้จึงเป็นบทความวิเคราะห์ถึงการแก่งแย่งชิงแชมป์ของ 2 ทีมผู้ยิ่งใหญ่
เริ่มต้นจากฝั่งมาดริดที่อยู่อันดับ 2 มี 56 คะแนนนั้น การแข่งขันนัดที่ 28 จะเจอกับบาเลนเซียทีมอันดับ 7 ที่เพิ่งตกรอบเกม UEFA Champions League จนเหลือเพียงแต่การแข่งขันลาลีกาเพียงอย่างเดียว ทว่าเจ้าค้างคาวก็อยู่ในสภาพไม่ดีนัก การแข่งขัน 2 นัดกับ Atalanta ทีมเสียประตูไปถึง 8 ลูก นอกจากนั้นการแข่งขันนัดนี้ก็เป็นเกมบุกไปเยือนราชันชุดขาว นัดนี้มาดริดน่าจะเก็บชัยชนะได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรนัก
อันที่จริงอุปสรรคของ 2 ยักษ์ใหญ่คงเป็นเกมเยือนเสียมากกว่า ในนัดที่ 30 จะต้องเจอกับ Real Sociedad ที่อยู่ในฟอร์มดี และนัด 34 ต้องเจออันดับ 10 อย่าง Athletic Bilbao ด้วย
โดยเฉพาะ 4 นัดล่าสุดกับโซเซียดาดนั้นผลงานไม่สู้ดีเลย ชนะ 1 แพ้ 3 นับว่าเป็นอุปสรรคชิ้นโต ซึ่งผู้นำเกมรุกสไตล์ฟุตบอลสวยงามของโซเซียดาดนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น "เจ้าหนุ่มอัจฉริยะ" มาร์ติน โอเดการ์ดแห่งนอร์เวย์นักเตะของมาดริดที่เล่นยืมตัวอยู่ที่นี่นั่นเอง ผลงานอันยอดเยี่ยมของอัจฉริยะแข้งซ้ายในฤดูกาลนี้อาจทำให้เจ้าตัวถูกเรียกกลับมาติดทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลหน้าก็เป็นได้
ทางฝั่งของบิลเบาที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของ Copa del Rey ร่วมกันกับโซเซียดาดนั้นก็ไม่ใช่เล่น ๆ ผลงาน 5 นัดล่าสุดมาดริดชนะแค่ 1 เสมอถึง 4 นับว่าเป็นคู่แข่งที่เคี้ยวไม่ลงเท่าไรนัก บิลเบาเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลีกที่เสียเพียง 23 ประตูเท่านั้น เท่ากับว่าทีมมีเกมรับสุดแข็งแกร่ง บางทีมาดริดอาจจะทำคะแนนหล่นหายในนัดนี้ก็เป็นได้
ทางด้านเรอัลมาดริดที่มีเกมรับแข็งแกร่งที่สุดในลีกด้วยการเสียเพียง 19 ประตู เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการคว้าแชมป์ของมาดริดคือเกมรุก ซึ่งผู้ที่จะเป็นคีย์แมนของมาดริดคือวินิซิอุส จูเนียร์ที่ถึงช่วงหนึ่งจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับรุ่นน้องร่วมชาติอย่างโรดรีโก้ผู้มาใหม่แต่แซงหน้ารุ่นพี่ แต่เมื่อประกอบกับเอแดน อาซาร์ที่บาดเจ็บต้องพักอีกครั้งแล้ว โอกาสที่วินิซิอุสจะได้ลงสนามก็น่าจะมีเพิ่มขึ้น อย่างในเกมคลาสิโก้เขาก็แสดงทักษะลากเลื้อยพร้อมกับยิงประตูด้วยเท้าชั่งทองคำได้อีกด้วย เพียงแต่ก็ยังพูดยากเหลือเกินว่าเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหอกอย่างคาริม เบนเซม่า จุดสำคัญขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถประสานงานต่อกันได้ดีหรือไม่
ร่วมเชียร์ LaLiga กับ Sony กันเถอะ!
次ページคุโบะ ทาเคฟุสะจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ชี้เหนือชี้ใต้ในการคว้าแชมป์ลีก?