ทวีตของแบร์นันโด้ ซิลวานักเตะแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่ระบุถึงเบนฌาแม็ง เมนดี้นั้นได้สร้างกระแสฮือฮาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์วงกว้าง

  เมื่ออาทิตย์ก่อน แบร์นันโด้ ซิลวาได้อัพรูปมาสค็อตของแบรนด์ช็อคโกแลตในสเปน Conguitos มาเทียบกับภาพของเมนดี้ในสมัยเด็กแล้วใส่แคปชั่นว่า "เดาซิคิดว่าใคร" เมนดี้ก็เข้ามาคอมเมนต์ใส่อีโมจิรูปร้องไห้ทั้งรอยยิ้ม ก็นับว่าเป็นการเล่นมุกตลกเล่นหัวกันระหว่างกลุ่มเพื่อนอย่างเฮฮา

  ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถูกวิจารณ์หนักว่าเป็นการเหยียดสีผิว ภายหลังจากนั้นเจ้าตัวซิลวาเลยลบทวีตดังกล่าวทิ้งแล้วก็อัพทวีตขึ้นมาใหม่ว่า "เชื่อเขาเลย... แค่เล่นมุกตลกกับเพื่อนเดี๋ยวนี้ก็ทำไม่ได้แล้วเหรอ..." แต่กระนั้นกลุ่มต่อต้านการเหยียดสีผิวก็ยังไม่หยุด มีการส่งเรื่องฟ้องร้องไปยังสมาพันธ์ฟุตบอลอังกฤษหรือทาง FA ซึ่งทาง FA ก็รับเรื่องด้วย

  จากผลการตรวจสอบอาจส่งผลให้แบร์นันโด้ ซิลวาต้องถูกแบนไม่ให้ลงสนามหรือเสียค่าปรับ ซึ่งมันอาจจะมีผลอะไรบางอย่างกับตัวของเขาในอนาคตก็เป็นได้

  ทางแมนเชสเตอร์ซิตี้เองก็หลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องในประเด็นนี้ ทว่าการแข่งขันศึกลีกคัพนัดที่ 3 ประจำวันที่ 24 กันยายน ที่แมนซิตี้ต้องเจอกับสโมสร Preston นั้น หลังการแข่งขันจบลงที่เป็นชัยชนะของเรือใบสีฟ้า ทางกุนซือของทีมอย่างโจเซฟ กวาดิโอลาร์ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

  จากการรายงานของสื่ออังกฤษอย่าง Telegraph ระบุว่า "พูดตามตรงแล้ว ผมไม่รู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น" เขาเกริ่นนำเช่นนั้น "แต่แบร์นันโด้เนี่ย เขาเป็นหนึ่งในคนที่น่ารักที่สุดในชีวิตที่ผมเคยพบเจอมาเลย" การพูดแบบนี้คือการแสดงออกถึงจุดยืนปกป้องลูกทีม

  "เขาพูดได้ 4-5 ภาษา ซึ่งนั่นคือสิ่งที่บ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นคนที่เปิดกว้างมากถึงขนาดไหน ที่สำคัญเมนดี้ก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดอีกหนึ่งคนของเขาด้วย พวกเขาเหมือนเป็นพี่น้องกัน

  ภาพที่อัพเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องสีผิว เขาแค่เอาภาพของเมนดี้ตอนเด็กมาเปรียบเทียบกับตัวการ์ตูนเท่านั้น ซึ่งมันก็ค่อนข้างดูเหมือนกัน ในกรณีของคนขาวเองก็มีเหมือนกันเรื่องการเปรียบเทียบภาพกับการ์ตูนเนี่ย ผมว่ามันไม่ใช่การเหยียดสีผิวเลยนะ หากทาง FA จะมาสอบปากคำแบร์นันโด้เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะก็เขาก็ยินดีตอบด้วยความเปิดกว้างแน่ รีแอคชั่นของเมนดี้ก็ชัดเจนมากเลยด้วย พวกเขาเล่นมุกเล่นหัวกันตลอดอยู่แล้ว"

  ความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมของพวกเขาทั้งสองที่กุนซือออกมาตีตราประทับนั้นส่วนหนึ่งก็เกิดจากการเป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันตั้งแต่สมัยอยู่โมนาโกมาก่อนแล้ว เสียงจากท้องถิ่นก็มีออกมาระบุว่า "ไม่ใช่การเหยียด" เช่นกัน เพียงแต่ว่าต่อให้เจ้าตัวไม่ได้มีเจตนารมณ์จะเหยียดสีผิวก็ตามแต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นการกระทำที่สื่อถึงการเหยียดสีผิวได้เช่นเดิม

  ก็ต้องมาดูกันต่อว่าไปว่าปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวที่เป็นหนึ่งในปัญหาเรื้อรังของวงการฟุตบอลจะมีจุดจบอย่างไรกันแน่

ข่าวโดย กองบรรณาธิการ Soccer Digest