"ศักยภาพของนักเตะไทยไม่ธรรมดาเลย"
ชิรากิผู้โลดแล่นอยู่ในเมืองไทยปี 2012 ปัจจุบันนี้เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นเทรนเนอร์สังกัดสมาพันธ์ฟุตบอลไทย
ภาพจากเจ้าตัวชิรากิ
ศึกฟุตบอลโลกหญิงที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้า ณ ประเทศฝรั่งเศส ไม่เพียงแต่ทีมนาเดชิโกะจากญี่ปุ่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังมีชาวญี่ปุ่นผู้ตัดสินใจหนักแน่นในการเข้าร่วมเวทีที่แสนยิ่งใหญ่แห่งนี้อีกด้วย
ชื่อของเขาคือชิรากิ โยเฮ อาชีพของเขาคือเมดิคัลเทรนเนอร์ ชิรากิได้รับการแต่งตั้งจากสมาพันธ์ฟุตบอลประเทศไทยให้เป็นเทรนเนอร์ที่จะตามติดทีมชาติไทยไปเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์หนนี้
ในช่วงวัยรุ่นเขาคือนักเบสบอล นอกจากนั้นยังมีความสามารถในฐานะนักยูโดบำบัด(Bonesetter) รวมไปถึงมีดีกรีเป็นหมอฝังเข็มอีกด้วย ว่าแต่ทำไมคนอย่างเขาถึงมาที่สมาพันธ์ฟุตบอลไทยได้ล่ะ? ทางผู้เขียนจึงเข้าไปสัมภาษณ์กับคุณชิรากิก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศส
――◆――◆――
――ช่วยเล่าเรื่องการเดินทางกว่าจะมาถึงประเทศไทยให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ
"จุดเริ่มต้นมาจากถูกเพื่อนร่วมเมืองที่อยากจะมาเมืองไทยเชิญชวนให้มาด้วยกันครับ ในตอนนั้นทีมที่เขาสังกัดอยู่(ชลบุรี FC ลีก 1) กำลังตามหาเทรนเนอร์อยู่ ผมก็เลยเข้าไปขอความกรุณากับที่นั่นตั้งแต่ปี 2012 เป็นเวลานาน 5 ปีครับ"
――จึงทำให้ได้รับการเชิดชูจนถูกมอบหมายหน้าที่นี้ให้สินะครับ
"ในสมัยที่ผมอยู่ชลบุรี FC นั้น ผมได้ทำงานอยู่ภายใต้คุณวิทยา(วิทยา เลาหกุล เป็นตำนานนักเตะทีมชาติไทยที่เคยมีประสบการณ์การค้าแข้งและคุมทีมที่ญี่ปุ่นมาก่อนด้วย) หลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้ไปดูแลทีมชาติจากทางสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งประเทศไทยนั้น ผมก็โดนดึงไปด้วยครับ เพราะฉะนั้นผมจึงมีแต่ความซาบซึ้งเท่านั้นจริง ๆ"
――ปัจจุบันนี้ทางสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งประเทศไทยมีเทรนเนอร์กี่คนงั้นหรือครับ?
"รวมผมแล้วมีทั้งหมด 5 คนครับ นอกจากผมแล้วที่เหลือเป็นคนไทยหมด จะแบ่งกลุ่มเป็นรับผิดชอบชายหญิงไปครับ"
――ตั้งแต่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ มีอะไรที่มักจะคิดคำนึงถึงอยู่เสมอเลยหรือเปล่าครับ?
"ผมได้รับค่าเหนื่อยมากกว่าคนไทยในฐานะที่เป็น "ชาวต่างชาติ" จึงทำให้ผมพึงสติระลึกเสมอว่าหากผมมีคุณภาพระดับเดียวกับพวกเขาคงไม่ดีแน่ ผมจึงตั้งใจให้หนักแน่นว่าไม่ว่าผมสัมผัสถึงอะไรได้เมื่อไรจะทำการบอกพวกเขาทันทีทันใดครับ"
――ในช่วงหลังมานี้ นับตั้งแต่นักเตะชนาธิปโลดแล่นในลีกญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก จึงทำให้ทางฝั่งญี่ปุ่นเริ่มให้ความสนใจฟุตบอลไทยมากขึ้นด้วย ไม่ทราบว่าจากในมุมมองของคุณที่ทำงานอยู่ในวงการลูกหนังไทยนั้น คุณสัมผัสอะไรจากพวกเขาได้บ้างหรือครับ?
"เติบโตขึ้นมากเลยครับ(ยิ้มแฉ่ง) ศักยภาพของนักเตะไทยไม่ธรรมดาเลยครับ"
――เข้าใจแล้วครับ แล้วในทางกลับกันมีอะไรที่ยังไม่ชินบ้างหรือครับ?
"ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้น่ะครับ การประชุมและการฝึกซ้อมของทีมแม้กระทั่งทีมชาตินั้นเริ่มต้นไม่ตรงเวลาเลย เป็นเรื่องปกติที่จะมีการเปลี่ยนกำหนดการณ์กันดื้อ ๆ ก่อนถึงเวลานัดด้วยครับ เลยทำให้ทีมสตาฟชาวยุโรปเนี่ยไม่ค่อยจะพอใจกันเสมอเลยล่ะครับ(ยิ้มแหย)"
――ปีนี้เริ่มมีอาการผมร่วงผมล้านแล้วด้วย แสดงว่ามีเรื่องลำบากลำบนไม่น้อยเลยสินะครับ
"ปีนี้มีการรวมแคมป์ต่อเนื่อง มีผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นมากด้วยครับ มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากลำบนมากเลยล่ะ แต่ไม่ว่าจะเรื่องไหนทุกอย่างล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยครับ นั่นก็รวมไปถึงหัวที่เริ่มล้านแล้วด้วย(หัวเราะ)"
ชื่อของเขาคือชิรากิ โยเฮ อาชีพของเขาคือเมดิคัลเทรนเนอร์ ชิรากิได้รับการแต่งตั้งจากสมาพันธ์ฟุตบอลประเทศไทยให้เป็นเทรนเนอร์ที่จะตามติดทีมชาติไทยไปเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์หนนี้
ในช่วงวัยรุ่นเขาคือนักเบสบอล นอกจากนั้นยังมีความสามารถในฐานะนักยูโดบำบัด(Bonesetter) รวมไปถึงมีดีกรีเป็นหมอฝังเข็มอีกด้วย ว่าแต่ทำไมคนอย่างเขาถึงมาที่สมาพันธ์ฟุตบอลไทยได้ล่ะ? ทางผู้เขียนจึงเข้าไปสัมภาษณ์กับคุณชิรากิก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศส
――◆――◆――
――ช่วยเล่าเรื่องการเดินทางกว่าจะมาถึงประเทศไทยให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ
"จุดเริ่มต้นมาจากถูกเพื่อนร่วมเมืองที่อยากจะมาเมืองไทยเชิญชวนให้มาด้วยกันครับ ในตอนนั้นทีมที่เขาสังกัดอยู่(ชลบุรี FC ลีก 1) กำลังตามหาเทรนเนอร์อยู่ ผมก็เลยเข้าไปขอความกรุณากับที่นั่นตั้งแต่ปี 2012 เป็นเวลานาน 5 ปีครับ"
――จึงทำให้ได้รับการเชิดชูจนถูกมอบหมายหน้าที่นี้ให้สินะครับ
"ในสมัยที่ผมอยู่ชลบุรี FC นั้น ผมได้ทำงานอยู่ภายใต้คุณวิทยา(วิทยา เลาหกุล เป็นตำนานนักเตะทีมชาติไทยที่เคยมีประสบการณ์การค้าแข้งและคุมทีมที่ญี่ปุ่นมาก่อนด้วย) หลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้ไปดูแลทีมชาติจากทางสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งประเทศไทยนั้น ผมก็โดนดึงไปด้วยครับ เพราะฉะนั้นผมจึงมีแต่ความซาบซึ้งเท่านั้นจริง ๆ"
――ปัจจุบันนี้ทางสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งประเทศไทยมีเทรนเนอร์กี่คนงั้นหรือครับ?
"รวมผมแล้วมีทั้งหมด 5 คนครับ นอกจากผมแล้วที่เหลือเป็นคนไทยหมด จะแบ่งกลุ่มเป็นรับผิดชอบชายหญิงไปครับ"
――ตั้งแต่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ มีอะไรที่มักจะคิดคำนึงถึงอยู่เสมอเลยหรือเปล่าครับ?
"ผมได้รับค่าเหนื่อยมากกว่าคนไทยในฐานะที่เป็น "ชาวต่างชาติ" จึงทำให้ผมพึงสติระลึกเสมอว่าหากผมมีคุณภาพระดับเดียวกับพวกเขาคงไม่ดีแน่ ผมจึงตั้งใจให้หนักแน่นว่าไม่ว่าผมสัมผัสถึงอะไรได้เมื่อไรจะทำการบอกพวกเขาทันทีทันใดครับ"
――ในช่วงหลังมานี้ นับตั้งแต่นักเตะชนาธิปโลดแล่นในลีกญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก จึงทำให้ทางฝั่งญี่ปุ่นเริ่มให้ความสนใจฟุตบอลไทยมากขึ้นด้วย ไม่ทราบว่าจากในมุมมองของคุณที่ทำงานอยู่ในวงการลูกหนังไทยนั้น คุณสัมผัสอะไรจากพวกเขาได้บ้างหรือครับ?
"เติบโตขึ้นมากเลยครับ(ยิ้มแฉ่ง) ศักยภาพของนักเตะไทยไม่ธรรมดาเลยครับ"
――เข้าใจแล้วครับ แล้วในทางกลับกันมีอะไรที่ยังไม่ชินบ้างหรือครับ?
"ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้น่ะครับ การประชุมและการฝึกซ้อมของทีมแม้กระทั่งทีมชาตินั้นเริ่มต้นไม่ตรงเวลาเลย เป็นเรื่องปกติที่จะมีการเปลี่ยนกำหนดการณ์กันดื้อ ๆ ก่อนถึงเวลานัดด้วยครับ เลยทำให้ทีมสตาฟชาวยุโรปเนี่ยไม่ค่อยจะพอใจกันเสมอเลยล่ะครับ(ยิ้มแหย)"
――ปีนี้เริ่มมีอาการผมร่วงผมล้านแล้วด้วย แสดงว่ามีเรื่องลำบากลำบนไม่น้อยเลยสินะครับ
"ปีนี้มีการรวมแคมป์ต่อเนื่อง มีผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นมากด้วยครับ มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากลำบนมากเลยล่ะ แต่ไม่ว่าจะเรื่องไหนทุกอย่างล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยครับ นั่นก็รวมไปถึงหัวที่เริ่มล้านแล้วด้วย(หัวเราะ)"