ระบบการเล่นที่ใช้มากที่สุดคือ?
แมนเชสเตอร์ซิตี้ที่ดวลชิงแชมป์กับลิเวอร์พูลอย่างสุดเดือด นี่คือการชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์
(C) Getty Images
ตามที่คอฟุตบอลทราบกัน ศึกพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ที่มีการชิงแชมป์กันอย่างแสนดุเดือดนั้น ชัยชนะตกเป็นของสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ โดยอันดับ 2 อย่างสโมสรลิเวอร์พูลนั้นมีแต้มตามหลังเพียง 1 แต้มเท่านั้น การแย่งชิงแชมป์แสนดุเดือดในครั้งนี้ต้องเป็นที่กล่าวขวัญกันอีกยาวนาน
จากการรายงานของ Sky Sport ระบุว่า ระยะห่างระหว่างสองอันดับที่อยู่ไม่เกิน 2 แต้มนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกในปี 1992 นั้นนี่ก็เป็นครั้งที่ 6 ตลอดทั้งฤดูกาลคะแนนห่างกันระหว่างซิตี้กับลิเวอร์พูลอยู่ที่ค่าเฉลี่ยเพียง 1.6 แต้มเท่านั้น
คะแนนรวมของทั้ง 2 สโมสรอยู่ที่ 195 แต้ม ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนั้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ทว่าอันดับรอง ๆ ลงมาก็อยู่คนละขั้นกับสองอันดับแรกเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือการบ่งบอกว่าการสู้กันระหว่าง 2 ผู้ยิ่งใหญ่นั้นคือสิ่งที่ดุเดือดมากขนาดไหน
ระยะห่างระหว่างลิเวอร์พูลกับอันดับ 3 อย่างเชลซีอยู่ที่ 25 แต้ม ซึ่งก็เป็นช่องว่างมากที่สุดนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกเป็นต้นมา ครั้งสุดท้ายที่ระยะห่างที่สุดคือฤดูกาล 2011-2012 ที่ซิตี้นำอันดับ 2 อย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและอันดับ 3 อย่างอาร์เซนอลอยู่ถึง 19 แต้ม
นอกจากนั้นอันดับ 6 อย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับวัตฟอร์ดอันดับ 7 นั้นห่างกันที่ 9 แต้ม ซึ่งระยะห่างดังกล่าวนั้นก็คงเดิมเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน ส่วนใน 2 ฤดูกาลก่อนนั้นอยู่ที่ 8 แต้ม เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เลยว่าระยะห่างของ 3 ฤดูกาลที่ผ่านมานแทบจะเท่ากัน นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกมาที่ระยะห่างระหว่างอันดับ 6 กับอันดับ 7 คงที่มากถึงขนาดนี้
จากการรายงานของ Sky Sport ระบุว่า ระยะห่างระหว่างสองอันดับที่อยู่ไม่เกิน 2 แต้มนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกในปี 1992 นั้นนี่ก็เป็นครั้งที่ 6 ตลอดทั้งฤดูกาลคะแนนห่างกันระหว่างซิตี้กับลิเวอร์พูลอยู่ที่ค่าเฉลี่ยเพียง 1.6 แต้มเท่านั้น
คะแนนรวมของทั้ง 2 สโมสรอยู่ที่ 195 แต้ม ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนั้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ทว่าอันดับรอง ๆ ลงมาก็อยู่คนละขั้นกับสองอันดับแรกเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือการบ่งบอกว่าการสู้กันระหว่าง 2 ผู้ยิ่งใหญ่นั้นคือสิ่งที่ดุเดือดมากขนาดไหน
ระยะห่างระหว่างลิเวอร์พูลกับอันดับ 3 อย่างเชลซีอยู่ที่ 25 แต้ม ซึ่งก็เป็นช่องว่างมากที่สุดนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกเป็นต้นมา ครั้งสุดท้ายที่ระยะห่างที่สุดคือฤดูกาล 2011-2012 ที่ซิตี้นำอันดับ 2 อย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและอันดับ 3 อย่างอาร์เซนอลอยู่ถึง 19 แต้ม
นอกจากนั้นอันดับ 6 อย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับวัตฟอร์ดอันดับ 7 นั้นห่างกันที่ 9 แต้ม ซึ่งระยะห่างดังกล่าวนั้นก็คงเดิมเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน ส่วนใน 2 ฤดูกาลก่อนนั้นอยู่ที่ 8 แต้ม เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เลยว่าระยะห่างของ 3 ฤดูกาลที่ผ่านมานแทบจะเท่ากัน นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกมาที่ระยะห่างระหว่างอันดับ 6 กับอันดับ 7 คงที่มากถึงขนาดนี้
ซิตี้ ลิเวอร์พูล เชลซี สเปอรส์ อาร์เซนอล ยูไนเต็ดคือบิ๊ก6 น่าจะพูดได้ว่ารากฐานของทั้ง 6 ทีมนี้คือองค์ประกอบที่ทำให้เป็นแชมป์ก็ว่าได้กระมัง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บิ๊ก 6 นอกเหนือจาก 6 ทีมนี้ที่เข้าภายใน 6 อันดับแรกนั้น ฤดูกาล 2009-2010 คือแอสตันวิลลา 2011-2012 คือนิวคาสเซิล 2012-2013 และ 2013-2014 คือสโมสรเอเวอร์ตัน ส่วนในฤดูกาล 2015-2016 มีเพียงแค่เลสเตอร์กับเซาแทมป์ตันเท่านั้น
ส่วนเรื่องกลยุทธ์ที่ใช้ในฤดูกาลนี้นั้นก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นด้วย ในฤดูกาล 2015-2016 ช่วงเริ่มต้นทีมส่วนใหญ่เกินครึ่งใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ในช่วงเวลานั้นก็มีความเข้าใจว่าระบบนี้จะเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทว่าฤดูกาลนี้ที่ใช้กันเยอะสุดกลับเป็น 4-3-3 แทน
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่มีมานั้น สิ่งที่ถูกยกระดับความสำคัญจนเป็นที่น่าจับตามองคือบทบาทของแบ็คริมเส้น ตลอด 6 ฤดูกาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนครั้งที่แบ็คริมเส้นทำแอสซิสต์ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในฤดูกาล 2013-2014 จำนวน 73 ครั้ง ส่วนฤดูกาลนี้เพิ่มสูงถึง 135 โดยเฉพาะแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน(11) และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์=อาร์โนลด์(12) แค่นักเตะสองคนนี้ของลิเวอร์พูลรวมกันก็ 23 ครั้ง นำอันดับ 2 ของอาเซนอลที่ 13 ครั้งอยู่เกือบเท่าตัว
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บิ๊ก 6 นอกเหนือจาก 6 ทีมนี้ที่เข้าภายใน 6 อันดับแรกนั้น ฤดูกาล 2009-2010 คือแอสตันวิลลา 2011-2012 คือนิวคาสเซิล 2012-2013 และ 2013-2014 คือสโมสรเอเวอร์ตัน ส่วนในฤดูกาล 2015-2016 มีเพียงแค่เลสเตอร์กับเซาแทมป์ตันเท่านั้น
ส่วนเรื่องกลยุทธ์ที่ใช้ในฤดูกาลนี้นั้นก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นด้วย ในฤดูกาล 2015-2016 ช่วงเริ่มต้นทีมส่วนใหญ่เกินครึ่งใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ในช่วงเวลานั้นก็มีความเข้าใจว่าระบบนี้จะเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทว่าฤดูกาลนี้ที่ใช้กันเยอะสุดกลับเป็น 4-3-3 แทน
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่มีมานั้น สิ่งที่ถูกยกระดับความสำคัญจนเป็นที่น่าจับตามองคือบทบาทของแบ็คริมเส้น ตลอด 6 ฤดูกาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนครั้งที่แบ็คริมเส้นทำแอสซิสต์ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในฤดูกาล 2013-2014 จำนวน 73 ครั้ง ส่วนฤดูกาลนี้เพิ่มสูงถึง 135 โดยเฉพาะแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน(11) และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์=อาร์โนลด์(12) แค่นักเตะสองคนนี้ของลิเวอร์พูลรวมกันก็ 23 ครั้ง นำอันดับ 2 ของอาเซนอลที่ 13 ครั้งอยู่เกือบเท่าตัว