เอโต้ นักฟุตบอลวัยเก๋า ออกมาพูดถึงปัญหาเรื้อรังในวงการฟุตบอลที่เขาสัมผัสมาทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย
ช่องโทรทัศน์ Canal+ ในฝรั่งเศสทำรายการสัมภาษณ์ตัวของเอโต้ อดีตศูนย์หน้าทีมชาติแคมารูนในวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา โดยศูนย์หน้าชื่อดังที่ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสร Qatar SC นั้น ได้ออกมาพูดถึงเรื่องราวของการ "แบ่งแยก" ที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมาอย่างยาวนาน
เอโต้ในวัย 37 ปีนั้น เขาเริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งครั้งแรกกับสโมสร Real Madrid ในปี 1997 หลังจากนั้นก็เล่นให้กับทีมมากมายอาทิบาร์เซโลน่า อินเตอร์มิลาน เชลซี เขาค้าแข้งไปกับ 6 ประเทศทั่วโลกจนสร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในแวดวงลูกหนัง
ตำนานลูกหนังที่สร้างชื่อเสียงมานักต่อนักนั้น เขาก็พบเจอกับความเจ็บปวดจากเรื่องของการแบ่งแยกมานักต่อนักเช่นกัน อย่างเหตุการณ์ในปี 2006 ที่อยู่กับสโมสรบาร์เซโลน่าแล้วต้องไปเจอกับซาราโกซ่านั้น เขาก็ถูกกองเชียร์เจ้าบ้านล้อเป็นวานร(monkey chant) จนสุดท้ายถึงกับอยากจะอาสาเปลี่ยนตัวเองออกไปจากสนามเลยด้วยซ้ำ
"พวกเราถูกมองเป็นกลุ่มชั้นสอง" เอโต้ นักเตะชื่อดังพูดถึงความลำบากในการเป็นผู้จัดการทีมของคนผิวดำ
カテゴリ:ワールド
2019/01/09
"คนผิวดำที่มีไลเซนส์ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยแท้ ๆ"
ด้วยประเด็นดังกล่าวนั้น จึงทำให้เอโต้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ในการสัมภาษณ์ออกสื่อ เขาเปิดเผยถึงอนาคตหลังจบชีวิตการค้าแข้งว่าจะผันตัวไปเป็นผู้จัดการทีม แต่กระนั้นการ "แบ่งแยก" ก็กลายเป็นอุปสรรคที่มองไม่เห็นสำหรับเขา
"จริงอยู่ที่อาจจะไม่ค่อยมีนักเตะคนผิวดำมากมายเท่าไรนักที่หลังจบชีวิตการค้าแข้งแล้วจะสอบเอาไลเซนส์ของการเป็นผู้จัดการทีม แต่คนผิวดำที่มีไลเซนส์ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยแท้ ๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เคยขึ้นมาคุมทีมใหญ่เลยล่ะ? นั่นก็เพราะว่ายังไม่ได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากเพียงพอยังไงเล่า
ในโลกนี้ไม่มีความเชื่อมั่นต่อคนผิวดำเลยว่า "จะสามารถเป็นกุนซือที่ควบคุมจัดการทีมได้" ราวกับว่าคนผิวดำอย่างพวกเรานั้นถูกมองเป็นกลุ่มชั้นสองไปอย่างเดียว"
ใช่ว่าจะไม่มีผู้จัดการทีมที่เป็นคนผิวดำแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่นผู้จัดการทีมชาติแคเมอรูนคนปัจจุบันก็คือ Clarence Seedorf อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์นั่นเอง หรืออย่าง Patrick Vieira ก็คุมสโมสร Nice ส่วนล่าสุดก็เธียรี่ อองรี ปัจจุบันนี้ก็คุมสโมสรโมนาโกอยู่ พวกเขาต่างก็คุมระดับแนวหน้าในลีคกันทั้งนั้น
แต่กระนั้นกุนซือคนผิวดำที่คุมทีมใหญ่นั้นก็ยังมีอยู่น้อยนัก ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ อดีตนักเตะของอาร์เซนอลอย่าง Paul Davis ก็ออกมาพูดถึงเรื่องราวดังกล่าวทาง BBC ว่า "ภายในแวดวงฟุตบอลนั้นมีพรสวรรค์มากมายที่ค่อย ๆ เน่าเสียไป" เขาเกริ่นออกมาเช่นนั้น
"มีคนผิวดำหลายคนถูกปลูกฝังความคิดว่า "ตัวเองไม่สามารถเป็นกุนซือได้" เวลาพูดคุยกับคนผิวดำทีไรก็มักจะได้คำตอบว่า "มันไปได้ไม่สวยแน่ การอบรมการเป็นผู้จัดการทีมนั้นต้องใช้เวลา 6-7 ปี แต่ถึงจะอบรมเสร็จแล้วก็คงทำงานได้ไม่ดีแน่" พวกเขากล่าวออกมาเช่นนั้น"
ซึ่งผู้ที่ทำการต่อต้าน "กำแพงที่มองไม่เห็น" นั้นก็คือตัวของเอโต้ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาจริงจังกับการจะเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลและหวังจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คนโดยรอบให้ได้ขนาดไหน
"ในเมื่อผมประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะที่ยุโรป ผมก็อยากจะประสบความสำเร็จในฐานะผู้จัดการทีมที่ยุโรปให้ได้ด้วย" ความมุ่งมั่นอย่างยิ่งใหญ่ของเอโต้ที่มองถึงอนาคตหลังจบการค้าแข้งนั้น จากนี้ต้องจับตาดูกันต่อไป